กรมสุขภาพจิต เตือนอย่าชม-อย่าแชร์ไลฟ์สดฆ่าตัวตาย!

2017-04-25 14:55:12

กรมสุขภาพจิต เตือนอย่าชม-อย่าแชร์ไลฟ์สดฆ่าตัวตาย!

Advertisement

กรมสุขภาพจิต เตือน อย่าชม อย่าแชร์ไลฟ์สด ฆ่าตัวตาย หวั่นพฤติกรรมเลียนแบบ ชวนใส่ใจสัญญาณเตือน รู้ให้เท่า ช่วยให้ทัน


นาวาอากาศตรี นายแพทย์บุญเรือง ไตรเรืองวรวัฒน์ อธิบดีกรมสุขภาพจิต กล่าวถึง การไลฟ์สดการฆ่าตัวตายผ่านสังคมออนไลน์ ว่า เริ่มปรากฏให้เห็นมากขึ้น จากการปรากฏเป็นข่าวหรือกล่าวถึงในโลกสังคมออนไลน์ เฉลี่ยเดือนละ   1-2 ราย ซึ่งการถ่ายทอดสดลักษณะนี้ ไม่สามารถที่จะตัดต่อได้ หรือเซ็นเซอร์ได้ในขณะออกอากาศ หากมีผู้ติดตามจำนวนมาก ย่อมส่งผลให้เกิดการฆ่าตัวตายเลียนแบบ (copycat suicide) หรือชี้นำให้เกิดการฆ่าตัวตาย ตามด้วยความเข้าใจผิดว่าเป็นทางออกของปัญหา โดยเฉพาะกับผู้ที่มีสภาพจิตใจเปราะบางอยู่แล้ว หรืออาจเคยมีความคิดอยากตาย หรือมีปัญหาทุกข์ใจคล้ายๆกัน และหากผู้รับชมเป็นเด็กและเยาวชนที่ยังไม่มีวุฒิภาวะเพียงพอ ไม่ระมัดระวังในการรับสื่อ อาจเข้าใจผิดคิดว่า การฆ่าตัวตายเป็นเรื่องที่ยอมรับได้ง่าย หากได้รับการตอบรับจากผู้ชมจำนวนมาก ทำให้เกิดพฤติกรรมเลียนแบบได้ง่ายยิ่งขึ้น หากพบเห็นภาพเหล่านี้ ต้องรีบยับยั้ง อย่าแชร์ หรือบอกต่อ และไม่ติดตามการถ่ายทอดสดจนจบ เพราะอาจส่งผลกระทบต่อจิตใจตนเองในอนาคต  เช่น เกิดความรู้สึกสะเทือนใจ เก็บไปเป็นความเครียดฝังใจ ครุ่นคิด จนนอนไม่หลับ เป็นภาพติดตาซึ่งไม่เป็นผลดีต่อสุขภาพจิต
อธิบดีกรมสุขภาพจิต
กล่าวต่อว่า การฆ่าตัวตายหรือพยายามฆ่าตัวตายด้วยอารมณ์ชั่ววูบ ในลักษณะหุนหันพลันแล่นเป็นส่วนหนึ่งของปัญหาการฆ่าตัวตายอยู่แล้ว และผู้ที่ฆ่าตัวตายมักจะส่งสัญญาณเตือนมาก่อน ทั้งจากคำพูด การเขียนจดหมาย การส่งข้อความสั้น (SMS) การไลน์ หรือการโพสต์ข้อความบนโซเชียลมีเดีย เป็นต้น ซึ่งคนที่อยากฆ่าตัวตายหรือ   ทำร้ายตัวเองมักจะมีความลังเล พะวักพะวง การช่วยเหลือในระยะนี้ จึงมีความสำคัญและเป็นการป้องกันการฆ่าตัวตายที่ดีที่สุด จากคนใกล้ชิด ตามหลัก 3ส. ที่ไม่ควรนิ่งนอนใจ ได้แก่ สอดส่องมองหา ใส่ใจรับฟัง และส่งต่อให้บุคลากรด้านสุขภาพจิตช่วยดูแลต่อ ไม่ว่าจะเป็นโรงพยาบาลทั่วไปหรือโรงพยาบาลจิตเวชก็ตาม


อธิบดีกรมสุขภาพจิต กล่าวเพิ่มเติมว่า การปรากฏตัวในโลกโซเชียล จึงเป็นสัญญาณหนึ่งที่บอกได้ว่า เขาอาจยังมีความลังเลอยู่ เขากำลังร้องขอความช่วยเหลือ ซึ่งในจังหวะนั้นสามารถช่วยเหลือผู้ที่ตกอยู่ในภาวะวิกฤตนี้ได้ ด้วยการประวิงเวลา ให้กำลังใจ ให้ข้อคิด สนทนาเรียกสติ ยับยั้งความคิด ให้หลุดพ้นห้วงอารมณ์นั้น ให้ผ่านพ้น 24ชั่วโมงไปให้ได้ อย่านิ่งเฉย ท้าทาย เยาะเย้ย ด่าว่า หรือตำหนิ ตลอดจน โทร 191 และเชื่อมประสานคนที่เขารัก ไว้ใจ หรือใกล้ชิดที่สุด เพื่อช่วยดึงสติเขากลับมา หรือขอความช่วยเหลือจากสายด่วนสุขภาพจิต 1323  หรือสถานพยาบาลที่ใกล้ที่สุด เพื่อให้เขาเข้าสู่ระบบการช่วยเหลือโดยเร็ว
         สำหรับสถิติการฆ่าตัวตายในประเทศไทย จากฐานข้อมูลการฆ่าตัวตายของคนไทย โดยโรงพยาบาลจิตเวชขอนแก่นราชนครินทร์ พบว่ามีแนวโน้มค่อยๆสูงขึ้น ล่าสุด ปี 2558 คนไทยฆ่าตัวตายสำเร็จเฉลี่ยเดือนละ 350 คน หรือ ทุกๆ 2 ชั่วโมง คนไทยฆ่าตัวตายสำเร็จ 1 คน ผู้ชาย มีอัตราการฆ่าตัวตายเพิ่มสูงขึ้นและสูงกว่าผู้หญิงถึง 4 เท่า ปัจจัยและสาเหตุที่เกี่ยวข้องกับการฆ่าตัวตาย พบว่า เกิดจากปัญหาความสัมพันธ์ โดยเฉพาะปัญหาความรักความหึงหวง ที่ทำให้เกิดการทำร้ายตนเองมากที่สุด ถึงร้อยละ 20 รองลงมา คือ โรคซึมเศร้า และ น้อยใจคนใกล้ชิดดุด่า ผู้ชายที่ฆ่าตัวตายสำเร็จมักจะมีการทำร้ายคนอื่นร่วมด้วย ตลอดจนพบว่าการดื่มสุราเป็นปัจจัยกระตุ้นสำคัญอีกปัจจัยหนึ่งที่ก่อให้เกิดการทำร้ายตนเอง ทั้งนี้ ภายใต้นโยบายของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ได้ตั้งเป้าหมายลดอัตราการฆ่าตัวตายสำเร็จไม่เกิน 6.0 ต่อแสนประชากร ภายในปี 2564 สำหรับ แนวทางป้องกัน ในระดับบุคคล โดยพื้นฐานหลักแล้ว คือ การมีวิธีจัดการกับความเครียดที่ดี เช่น การออกกำลังกายสม่ำเสมอ ยึดหลักศาสนาเป็นที่พึ่งทางจิตใจ เพื่อทำให้จิตใจสงบมากขึ้น รวมทั้ง การฝึกสติ ฝึกสมาธิ หาเพื่อนปรึกษา พูดคุยระบาย ช่วยกันคิดแก้ปัญหา ไม่เก็บปัญหาไว้คนเดียว ตลอดจนขอรับคำปรึกษาและความช่วยเหลือจากบุคคลหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เป็นต้น ในขณะที่ ครอบครัว ชุมชน และสังคม ก็ต้องสื่อสารดีต่อกัน ตลอดจนเอาใจใส่กันและกัน ปัญหาการฆ่าตัวตายป้องกันได้ ทุกคนช่วยได้ อธิบดีกรมสุขภาพจิต กล่าว