สมาคมแพทย์ผิวหนังแห่งประเทศไทย เตือนหญิงตั้งครรภ์ หรือผู้ที่วางแผนมีบุตรไม่ควรซื้อยารักษาสิวรับประทานเอง เพราะสามารถทำให้เด็กมีโอกาสพิการได้ แนะให้ปรึกษาแพทย์เฉพาะทางเพื่อวางแผนในการรักษา เพราะยาบางชนิดอาจจำเป็นต้องคุมกำเนิดทั้งก่อนและหลังรับประทาน
ศ.ดร.นพ.ประวิตร อัศวานนท์ ประชาสัมพันธ์สมาคมแพทย์ผิวหนังแห่งประเทศไทย กล่าวว่า เรื่องของยารักษาสิวกับการตั้งครรภ์ว่านั้น ปัจจุบันมียารักษาสิวประเภทกรดวิตามินเอ ที่มีชื่อว่า Isotretinoin (ไอโซเทรติโนอิน) เป็นยารักษาสิวชนิดที่มีผลข้างเคียงที่ต้องดูแลเป็นพิเศษ โดยขณะที่รับประทานยาจำเป็นที่จะต้องคุมกำเนิดร่วมด้วย และหลังจากหยุดยาแล้วต้องคุมกำเนิดต่ออีกประมาณ 1 เดือน เนื่องจากยาชนิดดังกล่าวจะมีผลต่อเด็กในครรภ์ ดังนั้นจึงจำเป็นต้องมีการสั่งจ่ายจากแพทย์เฉพาะทางด้านผิวหนังเท่านั้น แต่ทั้งนี้กลับพบว่ายาดังกล่าวสามารถหาซื้อได้ง่ายไม่ว่าจะเป็นจากร้านขายยาทั่วไป ร้านทำผม หรือแม้กระทั่งในโลกออนไลน์โซเชียลมีเดียที่มีการแพร่ระบาดของยาชนิดนี้อยู่ในปัจจุบัน
ศ.นพ.ประวิตร กล่าวว่า ยาชนิดนี้เมื่อรับประทานเข้าไปจะทำให้สิวที่เป็นอยู่ยุบตัวลงและช่วยในเรื่องของการควบคุมความมันบนใบหน้า ซึ่งในหมู่คนที่รู้จักและคุ้นเคยกับยาชนิดนี้จะเรียกว่า “ยาหน้าใส” แต่โดยความจริงแล้ว ยาชนิดนี้แม้จะเป็นยาที่ดี แต่ก็ผลข้างเคียงหลายอย่าง เช่น เมื่อรับประทานไปแล้วปากแห้ง ในบางรายมีผมร่วง มีค่าเอนไซม์ตับหรือมีค่าไขมันในเลือดเพิ่มขึ้น ดังนั้นเมื่อรับประทานยาชนิดนี้ต่อเนื่องนานๆ ก็ควรต้องมีการตรวจเลือดอย่างน้อย 1-2 ครั้ง เพื่อให้แน่ใจว่าร่างกายเราสามารถรับยาได้ โดยเฉพาะผลข้างเคียงในผู้หญิงขณะตั้งครรภ์ เมื่อรับประทานยาชนิดนี้เข้าไปแล้ว สามารถทำให้เด็กมีโอกาสพิการได้หลายรูปแบบ เช่น เกิดการพิการทางกะโหลกศีรษะ สมอง หัวใจ แขนขา เป็นต้น นอกจากนี้ในบางรายอาจมีผลข้างเคียงอื่น ๆ ที่ไม่สามารถคาดเดาได้ หรือในผู้ที่รับประทานยาโดยไม่ได้อยู่ในการควบคุมของแพทย์อาจทำให้มีอาการซึมเศร้า ซึ่งอาจนำไปสู่การฆ่าตัวตายได้อีกด้วย
ศ.นพ.ประวิตร กล่าวต่อว่า ยาที่ใช้ในการรักษาสิวแต่ละประเภท ได้ถูกออกแบบมาตามลักษณะความรุนแรงของสิว หากสิวมีความรุนแรงน้อย เช่น สิวอุดตัน สามารถใช้ยาทาก็จะพอช่วยลดอาการของสิวลงได้ แต่ถ้าสิวมีความรุนแรงมากขึ้น โดยมีลักษณะเป็นไตลึก ๆ มีตุ่มหนองเกิดขึ้นเยอะหรือมีไข้ร่วมด้วย อาจต้องใช้ยารับประทาน ทั้งนี้ควรอยู่ในการพิจารณาของแพทย์เป็นหลัก เพราะถ้าความรุนแรงของสิวไม่มาก ยาที่ใช้จะเป็นยาในกลุ่มลดการอักเสบ หรือยาทาเพื่อลดการอุดตันของรูขุมขน แต่ในกรณีที่รับประทานยาหลายชนิดแล้วไม่ดีขึ้นก็จำเป็นต้องใช้ยากลุ่มของกรดวิตามินเอในการรักษา โดยแพทย์จะพิจารณาใช้ยาชนิดนี้เป็นยาตัวท้าย ๆ เพราะมีผลข้างเคียงที่รุนแรง โดยเฉพาะกับผู้หญิงในช่วงวัยที่แต่งงานแล้วหรือกำลังวางแผนที่จะมีบุตร การประเมินความเหมาะสมในการใช้ยาควรมาจากแพทย์เฉพาะทางด้านผิวหนังเท่านั้น ซึ่งในต่างประเทศเองได้ให้ความสำคัญกับข้อบังคับในการใช้ยาชนิดนี้เป็นอย่างมาก โดยต้องตรวจก่อนว่าไม่ตั้งครรภ์ในขณะที่เริ่มทานยา และในระหว่างที่ทานยาก็ต้องดูรอบเดือนด้วยว่าไม่ตั้งครรภ์จนกว่าจะหยุดยา แต่ในประเทศไทยกลับพบว่ายาดังกล่าวสามารถสั่งซื้อได้ง่าย ดังนั้นผู้บริโภคต้องควรระวังเป็นอย่างมาก
ทั้งนี้ตามปกติตามกฎหมายไม่อนุญาตให้ขายยาชนิดนี้อยู่แล้ว แต่ก็ยังพบว่ามีการขายแบบผิดกฎหมายอยู่ โดยเฉพาะในสื่อสังคมออนไลน์ ซึ่งเป็นอันตรายอย่างมาก ไม่ควรสั่งซื้อยาเพื่อมารับประทานเอง โดยหลงเชื่อจากคำโฆษณาหรือการบอกต่อถึงสรรพคุณของยา เพราะนอกจากผลข้างเคียงของยาแล้ว เราอาจไม่รู้เลยว่ายาที่กำลังรับประทานอยู่นั้นเป็นยาปลอมหรือไม่