แจ็ค หม่า ประณาม สงครามการค้าสหรัฐ-จีน “โง่เง่าที่สุดในโลก”

2018-11-05 19:20:15

แจ็ค หม่า ประณาม สงครามการค้าสหรัฐ-จีน “โง่เง่าที่สุดในโลก”

Advertisement

แจ็ค หม่า นักธุรกิจมหาเศรษฐีแห่งอาณาจักร อีคอมเมิร์ซยักษ์ใหญ่ “อาลีบาบา” ประกาศในงานมหกรรมแสดงสินค้าเพื่อการนำเข้า ประเทศจีน หรือ ซีไอไออี (China International Import Expo : CIIE) ครั้งที่ 1 ซึ่งเปิดอย่างเป็นทางการในวันจันทร์ที่ 5 พ.ย. ที่ศูนย์การประชุมและการแสดงสินค้าแห่งชาติ ในเมืองเซี่ยงไฮ้ ว่า สงครามการค้าสหรัฐ-จีน “เป็นสิ่งที่โง่เง่าที่สุดในโลก”

หม่า ซึ่งต้องล้มเลิกแผนการสร้างงานหนึ่งล้านตำแหน่งในสหรัฐ ที่เขาเคยให้คำมั่นสัญญาไว้ก่อนหน้านี้ เนื่องจากปัญหาสงครามการค้าดังกล่าว ที่ประกาศโดยประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐ ได้พูดเรื่องนี้ในคณะหารือที่งานซีไอไออี “สงครามการค้า เป็นสิ่งที่โง่เง่าที่สุดในโลกนี้” ผู้ก่อตั้งอาลีบาบา กล่าว โดยไม่ได้เอ่ยชื่อทรัมป์ “การค้าเป็นรูปแบบสันติภาพ การค้าเป็นการติดต่อสื่อสาร ไม่มีใครสามารถหยุดยั้งการค้าเสรีได้หรอก”

ด้านประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ของจีน เป็นประธานเปิดงานซีไอไออี เมื่อวันจันทร์ ด้วยคำมั่นสัญญาที่คลุมเครือในการขยาย หรือเปิดกว้างมากขึ้นในการรับเอาสินค้านำเข้าจากต่างประเทศเข้าสู่เศรษฐกิจของจีน ขณะที่ ปักกิ่งเองก็เผชิญหน้ากับการหมดความอดทนของประเทศคู่ค้าที่เพิ่มความไม่พอใจมากขึ้นเรื่อย ๆ แต่เขาก็ได้กล่าวตำหนิ ไปถึง ลัทธิทรัมป์ โดยวิพากษ์วิจารณ์อย่างรุนแรงเกี่ยวกับการ “ลัทธิคุ้มครองทางการค้า”, “ลัทธิโดดเดี่ยว” และ “กฎแห่งป่า”




หม่า มหาเศรษฐีเจ้าของบริษัทผ่านออนไลน์ใหญ่ที่สุดของจีน กลายเป็นข่าวใหญ่ในการให้คำมั่นสัญญาว่าจะสร้างงานให้ทรัมป์เมื่อปีที่แล้ว เมื่อจีนยังคงมีมิตรภาพที่ดีกับทรัมป์ ที่เพิ่งได้รับการเลือกตั้งในขณะนั้น แต่หม่ากล่าวกับสำนักข่าวซินหัวของทางการจีน ในเดือนกันยายนที่ผ่านมาว่า สงครามการค้า “ได้ทำลายคำมั่นสัญญาที่เขาให้ไว้ไปหมดสิ้นแล้ว”

ทั้งนี้ ความไม่พอใจอย่างแรงต่อกรณีการได้เปรียบดุลการค้าที่จีนมีต่อประเทศคู่ค้า จุดชนวนให้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์จากต่างชาติ และทำให้เกิดความขัดแย้งเลวร้ายมากขึ้นกับสหรัฐ ซึ่งทั้งสองฝ่ายต่างตอบโต้กันด้วยการประกาศขึ้นภาษีสินค้านำเข้าของอีกฝ่ายเป็นมูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์สหรัฐ



จีนจัดงานมหกรรมแสดงสินค้านำเข้าประจำปีครั้งแรก เพื่อเป็นสัญญาณให้เห็นถึงความตั้งใจที่จะนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศมากขึ้น เพื่อลดช่องว่างการได้เปรียบดุลการค้า