"ปุ๊กกี้" เหมือนได้เกิดใหม่ได้รับบริจาคไต หลังต่อสู้กับโรคมานานเกือบ 12 ปี !!

2019-04-19 10:35:08

"ปุ๊กกี้" เหมือนได้เกิดใหม่ได้รับบริจาคไต หลังต่อสู้กับโรคมานานเกือบ 12 ปี !!

Advertisement

สุดดีใจได้รับบริจาคไต “ปุ๊กกี้ ชุลีพร” เหมือนได้เกิดใหม่ หลังต่อสู่กับโรคร้ายกว่า 12 ปี ไม่ได้ปัสสาวะมาเกือบ 10 ปี !! เตรียมบวชให้กับผู้บริจาค พฤษภาคมนี้ !!

เป็นอีกหนึ่งอดีตนักแสดงที่หลายคนคุ้นหน้า คุ้นตากันดี สำหรับ “ปุ๊กกี้ ชุลีพร ดวงรัตนตรัย” ซึ่งก่อนหน้านี้เจ้าตัวได้เผชิญกับโรคไต ทำให้ต้องหายหน้าหายตาจากวงการบันเทิงไปนานถึง 8 ปี ล่าสุด "ปุ๊กกี้" ก็ได้มาเปิดใจผ่านรายการ “คุยแซ่บ SHOW” ถึงอาการป่วยว่า…

เพิ่งออกจากโรงพยาบาล เสร็จสิ้นจากการผ่าตัดใช้เวลาเท่าไหร่ ?
“ประมาณเดือนครึ่ง ตอนนี้รู้สึกมีกำลังใจ เพราะพี่ไม่มีไตมา 8 ปี เกือบ 9 ปี แล้วอยู่ดีๆ ก็มีไต ก็เหมือนคนปกติ รู้สึกว่าเหมือนเรามีชีวิตใหม่ ได้เกิดใหม่ใจมันเต็มอิ่ม”





ไตมันเสื่อมระดับไหน ?
“คนเราไม่ใช่อยู่ดีๆ ไตเสื่อมได้ง่าย คือพี่เป็นเบาหวาน ตั้งแต่เกิดได้รับพันธุ์กรรม เป็นเบาหวานตอนวัยรุ่น คือ เป็นมาหลายๆ ปี แต่พี่ก็ยังกินทุกสิ่งอย่าง คือประมาทกับชีวิตมากๆ โดยไม่คิดว่าตัวเองจะเป็นอะไร เพราะว่ายังสาว ยังเด็ก ยังทำงาน ยังมีแรง แล้วพอมันเป็นมันเป็นเลย ถามว่าตรวจร่างกายไหมก็ตรวจแต่ด้วยความที่เราปล่อยปะละเลย พอเวลาผ่านไปหลายๆ ปีมันก็กลายเป็นโรคแทรกลามเข้ามา โรคแทรกก็มีความดัน แต่ยังดีที่หัวใจแข็งแรงไม่เป็นอะไร แล้วก็เป็นไต ซึ่งไตนี่ต้องฟอกเลือด เปลี่ยนชีวิตเลย อาทิตย์นึงต้องไปฟอกเลือด 3 วัน มันเป็นภาระของชีวิตมากๆ เจ็บปวดทรมาน”




คนที่เป็นโรคไต ตลอด 8 ปีที่ผ่านมาพี่ไม่ได้ปัสสาวะเลย ? 
“ใช่ค่ะ เพราะว่าไตวายไม่ทำงาน จะไม่มีปัสสาวะ ไปไหนไม่เคยเข้าห้องน้ำเลย ต้องไปเอาของเสียออกทางเลือด”



8 ปีพี่ทนได้ยังไงกับความรู้สึกแบบนี้ ?
“ไม่ใช่ว่าพี่ทนนะ คือ  ปีแรกพี่ร้องไห้ทุกวัน เพราะว่าคนเคยทำงาน แล้วเวลาเห็นเพื่อนๆ ในทีวีเราอยากเล่น มันคิดถึง มันอยู่ในสายเลือด แต่พอปีที่ 2 มานั่งร้องไห้อีก ปีที่ 3 เริ่มคิดว่าถ้าเราจะอยู่กับอาการและอารมณ์แบบนี้มันจะไปได้สักกี่น้ำ ก็ค่อยๆ ปรับ เอาธรรมมะเข้ามาช่วย มันก็ค่อยๆ ดีขึ้นแล้วก็อยู่กับโรคนี้ได้”




พี่ปุ๊กกี้ได้ไตใหม่เรียบร้อยแล้ว ? 
“ค่ะ จากผู้บริจาค คือคนที่เป็นโรคไตจะลงชื่อขอบริจาคไตจากสภากาชาดไทยเอาไว้ ก็จะถูกรันเรียกไปตามคิว ซึ่งพี่ลงไว้ตั้งแต่ปีแรกที่พี่เป็น คือ 8 ปีกว่า ไม่เคยโดนเรียกเลยสักครั้ง”



แล้วตอนที่เขาเรียก เราได้ไตเรื่องราวมันเป็นยังไง ? 
“ตอนนั้นประมาณตี 5 กว่าๆ มีโทรศัพท์มาที่บ้าน ทีนี้มือพี่ไปถูกโทรศัพท์มันก็เลยไม่มีเสียง มันก็กลายเป็นสั่นแทน พี่ก็หงุดหงิดมาก คิดว่าใครโทรผิด พี่ก็ไม่รับ มันสั่นประมาณ 5 ครั้งพี่ก็เลยรับ เขาบอกว่าโทรจากศูนย์เปลี่ยนถ่ายอวัยวะศิริราช ดีใจไหมคะ เท่านั้นแหละพี่อึ้งเลย พอไปถึงโรงพยาบาลเขาบอกว่าต้องทำใจนะถ้าผู้บริจาคไตที่เสีชีวิตไปแล้วอยากให้ไตเราคุณก็ได้ ถ้าเขาไม่อยากให้คุณก็ไม่ได้”




ความรู้สึกที่รับรู้ว่าเรามีสิทธิ์ที่จะได้ไต ตอนนั้นมันเป็นยังไง ?
“ดีใจมากค่ะ พี่ฟอกเลือดมานาน คนข้างๆ พี่ก็เคยผ่าตัด แล้วก็ไม่สำเร็จ ผ่าตัดแล้วไตไม่ทำงาน บางคนผ่าตัดแล้วเส้นเลือดไม่ทำงานบ้าง เยอะแยะไปหมด เพราะฉะนั้นสิ่งต่อไปที่พี่ภาวนาก็คือเมื่อผ่าตัดไตแล้วขอให้ไตทำงาน ปรากฏว่าเขาก็ไม่ทำงาน จนกระทั่งวันที่ 7 เขาถึงทำงาน พี่ต้องต่อสู้กับจิตใจว่าทำยังไงให้ใจชนะความกังวล”



เห็นบอกว่าพี่อธิฐานจิตถ้าทุกอย่างเรียบร้อยพี่จะไปบวช ? 
“ใช่ บวชให้กับผู้บริจาคไต พี่ตั้งใจไว้จะบวชให้เขา 7 วัน”




อันนี้ถือว่าเป็นปาฏิหาริย์ครั้งสำคัญในชีวิตไหม ? 
“คือพยาบาลเขาก็บอกว่าคุณโชคดีนะยิ่งกว่าถูกลอตเตอรี่รางวัลที่ 1 อีก เพราะว่าเหมือนมันมีชีวิตใหม่ พอไตทำงานพี่ดีใจมากๆ เพราะพี่ไม่ได้ปัสสาวะมาเกือบ 10 ปี”


แล้วตลอดเวลาใครช่วยพี่ดูแลเรื่องค่าใช้จ่าย ? 
“พี่ดูแลตัวพี่เอง เพราะพี่เป็นคนเก็บเงินตั้งแต่เด็ก แล้วพี่ยังไม่ได้เดือดร้อน ถามว่าเก็บเยอะไหมพี่ก็ซื้อของนะ พวกแบรนด์เนมก็มี พี่ซื้อรถเบนซ์เงินสด”



ค่าใช้จ่าย 8 ปี พี่หมดไปเท่าไหร่ ? 
พี่ป่วยทั้งหมดสิบกว่าปี ประมาณ12 ปีตั้งแต่เริ่มป่วย แต่ฟอกเลือดเกือบ 9 ปี ซึ่งพี่นับแค่ปีที่ 8 นะ พี่หมดไปเกือบ 6 ล้าน แต่พี่เอาสบายนะ พี่รักษาเอกชนบ้าง รัฐบาลบ้าง เพราะฉะนั้นมันจะหมดเยอะ พอตั้งแต่ปีที่9 มาพี่เริ่มประหยัด ใช้แต่ประกันสังคม เพื่อจะประหยัดเงินเอาไว้”


แล้วเตรียมตัวเรื่องบวชหรือยัง ? 
“พี่อาจจะบวชชีพราหมณ์แล้วก็ปฏิบัติธรรมอย่างเข้มงวด ก็เตรียมตัวไว้ว่าน่าจะพฤษภาคม”




อาการป่วยครั้งนี้พี่เห็นทั้งมิตรแท้ มิตรเทียม ? 
“คือมันไม่เชิงเห็นแต่มันวิเคราะห์ได้ คือมีวันนึงคิดถึงเพื่อนมากเลย วันนั้นแข็งแรงก็เลยอยากโทรศัพท์คุย แต่พี่สนิทกับหลายคนแต่พี่เลือกเขา ซึ่งก็เป็นเพื่อนดาราด้วยกัน พี่ก็โทรศัพท์ไปหาเขา ไม่ได้คุยกันมาเกือบ 10 ปี เขาก็งงๆ จำไม่ได้ พี่ก็บอกว่าพี่ปุ๊กกี้ไง เขาก็บอกว่าจำได้ แต่เขาก็งงๆ ทีนี้พี่ก็ชวนเขาคุย เขาก็คุยอีกสักพักเขาก็พูดเรื่องเงิน พี่ก็พูดเรื่องอื่น แต่เขาก็กลับมาพูดเรื่องเงินประมาณ 4-5 รอบ จนพี่งงๆ แล้วพี่ก็มานั่งงงๆ แป๊บนึงก็คิดได้ว่าเคยมีผู้ใหญ่บอกเรา ถ้าเพื่อนหายไป 5 ปี 10 ปี ถ้ากลับมาให้นึกไว้ก่อนเลยว่าเขามายืมเงิน คือ เขาต้องคิดว่าเราไปยืมเงินแน่ๆ ต่อไปนี้ไม่โทรหาใครแล้วมันเหมือนกับเราไปยืมเงินเขา แล้วมันก็มีอีกนะ บางทีเราเคยสนิทกับดาราคนนี้ ไม่ใช่สนิทธรรมดานะ สนิทมากแล้วไม่ได้เจอกันนานแล้ว พอไปเจอกันที่งานเขาก็บอกว่าสวัสดี แล้วก็เดินไป คือพี่งง เมื่อก่อนไม่ใช่แบบนี้ พี่ก็คิดว่า อ่อเราไม่ดังแล้ว คือคิดเอง แต่ว่ามันเจออย่างนี้หลายคนแล้ว มันก็เลยคิดว่าตอนเราดังเขาเป็นกับเราอย่างนึง เขาเดินเข้ามาหาเรา แต่พอเราไม่ดังเขาเป็นอย่างนี้ แต่พี่ไม่เคยคิดว่านั่น คือ ปมด้อยของชีวิต เพราะว่าพี่พอใจกับสิ่งที่พี่มี” 

Cr. คุยแซ่บSHOW