เปิดศึกแย่งลูกรอบสอง "ต่าย" ฟ้อง "ทิม" กรณีความรุนแรงในครอบครัว แต่ ...

2019-05-23 16:40:08

เปิดศึกแย่งลูกรอบสอง "ต่าย" ฟ้อง "ทิม" กรณีความรุนแรงในครอบครัว แต่ ...

Advertisement

ปะ - ฉะ - ดะ รอบที่สอง... "ต่าย ชุติมา" ฟ้อง "ทิม พิธาน" เข้าข่ายทำร้ายร่างกาย คดีใหญ่ความรุนแรงในครอบครัว แต่ศาลไม่รับฟ้อง ต้องถอยกรูดมาตั้งหลักใหม่ เจ็บหนักเจียนตายคราวนี้ "ต่าย" จะทำอย่างไรต่อไปดี ...



ซึ่งเหตุผลที่ศาลไม่รับฟ้องคดีทั้งที่เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นจริง แต่ไม่ถึงขั้นเป็นความรุนแรงภายในครอบครัว ทั้งนี้ "ต่าย" ยืนยันอยากได้สิทธิดูแลลูกมากกว่า "ทิม" และไม่ได้เรียกร้องสินสมรสแม้แต่น้อย  






ขณะที่ คดี “ทิม พิธา ลิ้มเจริญรัตน์” เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง “ต่าย ชุติมา ทีปะนาถ” เพื่อฟ้องหย่าขออำนาจปกครองบุตร จะตัดสินจบไปแล้ว ซึ่งฝ่ายทิมเป็นผู้ได้สิทธิเลี้ยงดู “น้องพิพิม” วัย 3 ขวบ โดยมีข้อตกลงว่าพิพิมอยู่กับพ่อวันจันทร์-ศุกร์ และอยู่กับต่ายวันเสาร์-อาทิตย์





ในเวลาต่อมา "ต่าย" ได้ขอให้ศาลไต่สวนคดีใหม่ โดยให้เหตุผลว่าตนไม่ได้รับหมายศาล จึงไม่ทราบมาก่อนว่าถูกฟ้อง เพราะต่ายไม่ได้มีถิ่นที่อยู่ตามที่ทิมส่งหมายและสำเนาฟ้อง จึงไม่จงใจขาดนัดยื่นคำให้การ ไม่จงใจขาดนัดพิจารณา ซึ่งหากทางตนที่เป็นจำเลยมีโอกาสต่อสู้คดีก็จะมีโอกาสชนะคดีได้ ศาลจึงสั่งให้พิจารณาคดีใหม่ แต่ทางฝ่ายทิมได้มีการถอนฟ้องไปแล้ว ทำให้ต่ายไม่สามารถดำเนินการต่อได้ แม้อยากจะได้สิทธิหลักในการเลี้ยงลูกก็ตาม





แต่เรื่องราวกลับไม่จบลงอย่างที่ศาลได้สั่งไป เพราะ "ต่าย" ได้ยื่นฟ้องทิมในคดีคุ้มครองสวัสดิภาพเรื่องความรุนแรงในครอบครัว กล่าวหาโดนทิมทำร้ายร่างกาย โดยในวันที่ 22 พ.ค.62 ศาลเยาวชนและครอบครัวกลางได้นัดไต่สวนทั้งสองฝ่าย เมื่อเวลา 09.00 น. ซึ่งต่ายและทิมได้เดินทางมาพร้อมด้วยทนายความส่วนตัว โดยใช้เวลาในการไต่สวนนานกว่า 11 ชั่วโมง แต่หลังจากพิจารณาแล้วศาลไม่รับฟ้องคดี ด้วยเห็นว่ามีความกระทำความรุนแรงกันจริง แต่ไม่ถึงขั้นเป็นความรุนแรงภายในครอบครัว



และภายหลังจากการไต่สวนเสร็จสิ้น ต่ายได้ออกมาชี้แจงกับสื่อมวลชนถึงเหตุผลที่ฟ้องอดีตสามีเพราะได้รับผลกระทบด้านจิตใจ โดยทิมได้เดินทางกลับไปและไม่ให้สัมภาษณ์ใดๆ ทั้งสิ้น ซึ่งต่ายได้กล่าวว่า 

“คดีนี้ไม่เกี่ยวกับคดีก่อนหน้านี้ หลายคนจะเอาไปปนกันว่าเราฟ้องเขา เขาฟ้องเรา คือคดีนี้มันเป็นคดีที่แยกออกไป ไม่เกี่ยวอะไรกับเด็ก คดีนี้เป็นคดีเกี่ยวกับความรุนแรงในครอบครัว หมายถึงเรื่องของการทำร้ายร่างกาย ที่ต่ายยื่นฟ้องไปทางคุณทิม เป็นการฟ้องเพื่อขอคุ้มครองสวัสดิภาพของตัวเรา เพราะต่ายได้ปรึกษากับ พม. และมูลนิธิส่งเสริมความเสมอภาค ซึ่งทางผู้ใหญ่แนะนำให้ดำเนินคดี เพราะเห็นว่าสิ่งที่เกิดขึ้นกับเราไม่ใช่เรื่องถูกต้อง"





หมายถึงว่าที่ผ่านมาถูกทำร้าย ?
“คือข่าวที่ออกไปเหมือนจะมีคำสั่งศาลออกไปได้ยังไงเกี่ยวกับเรื่องหมาย เพราะรายละเอียดเกี่ยวกับคดีแรก และคดีนี้คือละเอียดมาก แล้วมีบ้านเลขที่ออกไป คดีที่แล้วคืออีกคดีนึง คดีที่แล้วศาลได้รับการพิจารณาคดีใหม่ คำสั่งทุกอย่างเป็นโมฆะไปแล้ว ศาลเห็นว่าเราไม่มีเจตนาจริงๆ ก็เลยยกฟ้องไป”

ลั่นศาลไต่สวนแล้ว มีการทำร้ายร่างกายจริงแต่ไม่ถึงกับเป็นความรุนแรงในครอบครัว ?
“แต่ว่ามันก็กระทบจิตใจของเรา คือถึงมันไม่รุนแรงแต่มันก็มีความกังวลในการอยู่ร่วมกัน ยังไงก็อยากให้เป็นเรื่องของคนสองคน”





ตกลงคำสั่งศาลสรุปแล้วคืออะไร ?
“ตอนนี้เรื่องการดูแลลูกแบ่งกันลงตัวตามคำสั่งศาล ถือว่าลงตัวในระดับนึง แต่ต่ายอยากได้สิทธิเป็นบ้านหลักในการเลี้ยงลูก หากแบ่งกันเลี้ยง 50 : 50 จะส่งผลกระทบต่อลูก ซึ่งทั้งหมดเป็นดุลพินิจของศาล แล้วทางทนายก็ยื่นขอคำร้องไปขอให้เป็นแบบนี้ไปก่อน ของต่ายจะได้ดูแลลูก ศุกร์-จันทร์ ถามว่าเราโอเคมั้ย เราเป็นห่วงลูกมากกว่า จริงๆ ต่ายได้ดูแลลูกช่วงวีกเอนด์น่าจะเป็นคนที่แฮปปี้ ไม่ต้องตื่นเช้า ไปรับไปส่ง พาลูกเที่ยวอย่างเดียว นั่นคือสิ่งที่ถูกต้องเหรอสำหรับเด็กคนนึง สิ่งที่เขาควรจะได้รับมันเป็นยังไง มันไม่ใช่แบบนี้ เดี๋ยวต้องปรึกษาผู้ใหญ่ว่าจะยังไงต่อ เราเองอยากให้ศาลท่านพิจารณาจริงๆ ว่าใครที่สมควรจะเป็นบ้านหลัก ใครที่มีคุณสมบัติจริงๆ”



แสดงว่าอยากได้สิทธิดูแลลูกเพียงคนเดียว ?
“คือเหมือนคำนั้นมันเป็นคำที่ใช้ในศาล คำว่าขอดูแต่เพียงผู้เดียว แต่คุณก็ต้องมีจิตสำนึกในการเป็นผู้ปกครองหลักนะ เพราะเราดูแลสภาพจิตใจเด็ก บ้านที่เป็นบ้านหลักต้องดูแลน้อง 80 เปอร์เซ็นต์ อีก 20 เปอร์เซ็นต์คือเป็นบ้านรอง ถ้าจะมาให้ผู้ใหญ่แฟร์ๆ 50:50 ผลกระทบคือลูก เด็กจะเกิดพฤติกรรมอยู่บ้านนี้จะเป็นบุคลิกแบบนี้ อยู่บ้านนึงจะเป็นอีกบุคลิกนึง พอไปโรงเรียนก็จะสร้างบุคลิกใหม่ขึ้นมา พอเราเริ่มสังเกตพฤติกรรมเราก็ค่อนข้างมีความเป็นห่วงและกังวล ที่อยากต่อสู้คดีใหม่เพราะอยากจะเป็นบ้านหลัก มีสิทธิ์ในตัวลูก 80 เปอร์เซ็นต์ ส่วนคุณทิม 20 เปอร์เซ็นต์ แล้วเราไม่ได้มั่นใจหรืออยากจะชนะอะไร แต่เราก็ใช้ข้อเท็จจริงทุกอย่างว่าเราเลี้ยงลูกมายังไง เราดูแลลูกอย่างไร ทุกสิ่งทุกอย่าง”



เรื่องนี้จะจบลงยังไง ?
“ที่ผ่านมาเราก็พยายามไกล่เกลี่ยนอกรอบกันมาตลอด ทุกวันนี้ก็กังวล แค่ที่เรื่องเป็นอย่างนี้ตั้งแต่ช่วง พ.ย. มามันก็เกิดการอยู่ 2 บ้าน เราก็เป็นห่วงเขามากที่สุด คำแนะนำของคุณหมอเด็ก จิตแพทย์เด็ก เขาก็บอกว่าเด็กอยู่แบบครึ่งๆ แบบนี้ไม่ได้ ความเป็นตัวตนของเด็กเขาจะหายไป ก็อยากให้ทุกอย่างจบเร็วที่สุด”

มีลือว่าที่ผ่านมาต่ายต้องรับภาระค่าใช้จ่ายในบ้านมาตลอด 2 ปี ?
“มันเกิดขึ้นจริงแต่เราก็ยินดีที่จะทำเพื่อครอบครัว”

นอกจาก 2 คดีที่ฟ้องร้องกันแล้วจะมีคดีอื่นอีกมั้ย ?
“คาดว่าจะไม่มีคดีอื่นเพิ่ม ส่วนการแบ่งสินสมรสเชื่อว่าไม่มีปัญหาเพราะตนไม่ได้เรียกร้องอะไร แต่ก็มีคิดๆ ไว้บ้าง อย่างแบ่งกันคนละกี่เปอร์เซ็นต์ เราออกส่วนไหน เขาออกส่วนไหน ทั้งหมดคงให้ทนายดูตามความเหมาะสม ตามความจริงแต่ก็มีคิดเกี่ยวกับเรื่องของการแบ่งภาระค่าเลี้ยงดูลูกเพราะที่ผ่านมาตนเป็นคนรับผิดชอบคนเดียว”