×ข่าวรายการผังรายการรายการสด ร่วมงานกับเราติดต่อเรา

ศาลพิพากษาประหารชีวิต "ผกก.โจ้" ลดโทษจำคุกตลอดชีวิต

ศาลพิพากษาประหารชีวิต "ผกก.โจ้" ลดโทษจำคุกตลอดชีวิต
2022-06-08 12:24:34

ศาลพิพากษาประหารชีวิต "ผกก.โจ้" พร้อมพวก แต่ลดโทษเหลือจำคุกตลอดชีวิต คดีคลุมถุงดำผู้ต้องหาดับ

เมื่อวันที่ 8  มิ.ย. 65 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า  ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง นัดฟังคำพิพากษา คดีอาญาหมายเลขดำที่ อท.180/2564 ที่อัยการฝ่ายคดีอาญาทุจริต 3 เป็นโจทก์ฟ้อง พ.ต.อ.ธิติสรรค์ อุทธนผล หรือ "ผกก.โจ้" อดีต ผกก.สภ.เมืองนครสวรค์ กับพวกรวม 7 คน   คือ 1.พ.ต.อ.ธิติสรรค์   2.พ.ต.ต.รวีโรจน์ ดิษทอง อดีต สว.สส. 3.ร.ต.อ.ทรงยศ คล้ายนาค อดีตรองสวป. 4.ร.ต.ท.ธรณินทร์ มาศวรรณา อดีตรองสวป. 5.ด.ต.วิสุทธิ์ บุญเขียว ผบ.หมู่ ป.  6.ด.ต.ศุภากร นิ่มชื่น ผบ.หมู่ ป. และ 7.ส.ต.ต.ปวีณ์กร คำมาเร็ว ผขบ.หมู่ ป. เป็นจำเลย กรณีร่วมกับพวกใช้ถุงดำคลุมศีรษะนายจิระพงษ์ หรือ มาวิน ธนะพัฒน์ ผู้ต้องหาคดียาเสพติดถึงแก่ความตาย ในฐานความผิด 4 ข้อหา ประกอบด้วย

1.เป็นเจ้าพนักงานร่วมกันปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต

2.เป็นเจ้าพนักงานของรัฐร่วมกันปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติอย่างใดในตำแหน่งหรือหน้าที่หรือใช้อำนาจในตำแหน่งหรือหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต

3.ร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยทรมานหรือโดยกระทำทารุณโหดร้าย

4.ร่วมกันตั้งแต่ห้าคนขึ้นไปข่มขืนใจผู้อื่นให้กระทำการใด ไม่กระทำการใด หรือจำยอมต่อสิ่งใดโดยทำให้กลัวว่าจะเกิดอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย เสรีภาพ ชื่อเสียง หรือทรัพย์สินของผู้ถูกข่มขืนใจนั้นเองหรือของผู้อื่น หรือโดยใช้กำลังประทุษร้ายจนผู้ถูกข่มขืนใจต้องกระทำการนั้น ไม่กระทำการนั้นหรือจำยอมต่อสิ่งนั้น

ทั้งนี้สืบเนื่องจากนายจิระพงษ์ หรือ มาวิน ธนะพัฒน์ ผู้เสียชีวิต ซึ่งถูกจับและควบคุมไว้ในคดียาเสพติด ถูกฆ่าถึงแก่ความตายขณะอยู่ในความความควบคุมของเจ้าพนักงาน เมื่อช่วงระหว่างวันที่ 4-6 ส.ค.64 ที่ สภ.นครสวรรค์ ที่ผ่านมา

ผู้สือข่าวรายงานว่า ในวันนี้จะเป็นการอ่านคำพิพากษา ผ่านระบบวิดีโอคอนเฟอเรนซ์  โดยเรืออากาศตรีจักรกฤษ กลั่นดี และนางจันจิรา ธนพัฒน์ บิดา มารดาของนายมาวิน ผู้ตาย  ทนายความ เดินทางมาฟังคำพิพากษา โดยเรืออากาศตรีจักรกฤษ  กล่าวว่า ไม่ว่าผลคดีจะออกมาเป็นอย่างไรก็พร้อมยอมรับ และจะไม่ขออุทธรณ์ หรือฎีกา ขอสู้แค่ศาลเดียวพอ ทั้งนี้ขอให้ฝ่ายจำเลยจ่ายเงินเยียวยา 1.5 ล้านบาทให้ตามที่ตกลงกัน

ด้าน นายโชคชัย อ่างแก้ว ทนายความของอดีต ผกก.โจ้  กล่าวว่า  คดีนี้สู้กันตามข้อเท็จจริงและพยานหลักฐาน โดยเฉพาะคลิปเหตุการณ์ตอนคลุมศีรษะนายมาวิน ด้วยถุงดำ เป็นการกระทำที่ไม่มีเจตนาให้นายมาวิน เสียชีวิต แม้จำเลยกับพวก จะคุมด้วยถุงพลาสติกหลายใบ ได้มีการคลายถุงให้มีอากาศหายใจ ใช้เวลาคลุมและผ่อน ๆ 7 นาที หากจงใจให้เสียชีวิต จะใช้เวลาคลุมถุงแค่ 4 นาที ก็เสียชีวิตได้ ซึ่งการใช้ถุงดำคลุมศีรษะต้องการรีดข้อมูลที่ซ่อนยาเสพติดเพื่อประโยชน์ทางราชการเท่านั้น

ล่าสุดศาลพิพากษาว่าจำเลยที่ 1-5 เเละ 7 กระทำผิดตามฟ้อง ให้ลงโทษข้อหาฆ่าโดยโหดร้ายทารุณ บทหนักสุดให้ประหารชีวิต ลดโทษ 1 ใน 3 เหลือจำคุกตลอดชีวิต ส่วนจำเลยที่ 6 ผิดข้อหาปฏิบัติหน้าที่มิชอบตามประมวลกฎหมานอาญามาตรา 157 ให้จำคุก 8 ปี แต่ลดโทษให้ 1 ใน 3 เหลือจำคุก 5 ปี 4 เดือน

ทังนี้การใช้ถุงดำคลุมศีรษะผู้ตายทีละใบ จนครบจำนวน 7 ใบนาน 6 นาทีเศษ ใส่กุญแจมือไพล่หลัง ใช้เข่าทับร่างกายมิให้ดิ้นรนขัดขืน เพื่อบังคับให้ผู้ตายบอกข้อมูลที่ซุกซ่อนยาเสพติด ซึ่งเมื่อตรวจดูโทรศัพท์ผู้ตายแล้วเจอภาพยาเสพติดอีกจำนวนหนึ่ง และข่มขู่ว่า “กูจะเอามึงยันตาย หากไม่บอกความจริง” จนผู้ตายส่งเสียงร้อง และพลัดตกจากเก้าอี้และหมดสติดอยู่ที่พื้นห้อง จากนั้น จำเลยที่ 1 และพวกได้ช่วยกันปั๊มหัวใจ ตรวจดูชีพจร แต่พบว่าผู้ตายหมดสติแล้ว จากนั้นจึงพากันนำส่งโรงพยาบาลปริ๊นซ์ ปากน้ำโพ ซึ่งแพทย์ได้ช่วยเหลือจนสามารถกู้สัญญาณชีพกลับมาได้แต่ยังอยู่ในภาวะวิกฤต การที่จำเลย 1, 2, 3, 4, 5 และ 7 ใช้ถุงดำคลุมศีรษะผู้ตายย่อมเล็งเห็นผลว่าผู้ตายอาจขาดอากาศหายใจได้ ซึ่งการตายเป็นผลโดยตรงจากการถูกคลุมศีรษะด้วยถุงพลาสติก จนขาดอากาศหายใจ การกระทำของจำเลยทั้ง 6 คน จึงมีเจตนาฆ่าผู้ตายโดยใช้ถุงพลาสติก 7 ใบ ใช้คลุมศีรษะทีละใบด้วยความโหดร้ายทรมาน ส่วน ด.ต.ศุภากร จำเลยที่ 6 ฟังได้ว่า แม้จะมีส่วนร่วมกับการจับกุมตัวนายจิระพงษ์ แต่เมื่อจำเลยที่ 1-5 และ 7 นำตัวมาสอบสวนขยายผลยาเสพติด จำเลยที่ 6 ได้เข้าไปยังห้องที่เกิดเหตุดังกล่าวแล้วเห็นว่าผู้ตายนอนหมดสติอยู่ที่พื้นห้อง ก็มีการตื่นตกใจและได้เดินออกจากห้องไปไม่กลับเข้ามาอีก จนกระทั่งได้ยินเสียงเรียกให้ช่วยนำผู้ตายส่งโรงพยาบาล จึงได้เข้ามาช่วยเหลือดังกล่าว

พิพากษาว่า จำเลยที่ 1-5, 7 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157, 289(5) มีเจตนาฆ่าผู้อื่นโดยเล็งเห็นผล โดยทรมานหรือโดยกระทำทารุณโหดร้าย, 308 วรรคสอง พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกัน และปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2561 มาตรา 172 ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 จำเลยที่ 6 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157, 309 วรรคสอง พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2561 มาตรา 172 ประกอบ ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 การกระทําความผิดของจำเลยที่ 1-5, 7 ฐานเป็นเจ้าพนักงานร่วมกันปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหาย แก่ผู้หนึ่งผู้ใด  ฐานเป็นเจ้าพนักงานของรัฐร่วมกันปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติอย่างใดในตำแหน่ง หรือหน้าที่ หรือใช้อำนาจในตำแหน่งหรือหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด ฐานร่วมกันกระทำผิดตั้งแต่ห้าคนขึ้นไปข่มขืนใจผู้อื่นให้กระทำการใดหรือจำยอมต่อสิ่งใด โดยทำให้กลัวว่าจะเกิดอันตรายต่อชีวิต หรือร่างกาย เสรีภาพ ชื่อเสียงและทรัพย์สินของผู้ถูกข่มขืนใจ หรือของผู้อื่น หรือโดยใช้กำลังประทุษร้ายจนผู้ถูกข่มขืนใจต้องกระทำการนั้น ไม่กระทำการนั้น หรือจำยอมต่อสิ่งนั้น และฐานร่วมกันฆ่าอื่นผู้โดยทรมานหรือโดยกระทำทารุณโหดร้ายเป็นการกระทำ อันเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษจำเลยที่ 1-5, 7 ฐานร่วมกันฆ่าผู้อื่น โดยเจตนาเล็งผลตามที่โจทก์บรรยายฟ้อง โดยทรมานหรือโดยกระทำ ทารุณโหดร้ายตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289(5) ซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุด ตามประมวล กฎหมายอาญา มาตรา 90 ลงโทษประหารชีวิต

ส่วนการกระทําความผิดของจำเลยที่ 6 ฐานเป็นเจ้าพนักงานร่วมกันปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติ หน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด ฐานเป็นเจ้าพนักงานของรัฐร่วมกันปฏิบัติ หรือละเว้นการปฏิบัติอย่างใดในตำแหน่งหรือหน้าที่ หรือใช้อำนาจในตำแหน่งหรือหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด และฐานร่วมกับตั้งแต่ห้าคนขึ้นไปข่มขืนใจผู้อื่นให้กระทำการใด หรือจ่ายอมต่อสิ่งใด โดยทำให้กลัวว่าจะเกิดอันตรายต่อชีวิต หรือร่างกาย เสรีภาพ ชื่อเสียง และทรัพย์สินของผู้ถูกข่มขืนใจหรือของผู้อื่น หรือโดยใช้กำลังประทุษร้ายจนผู้ถูกข่มขืนใจ ต้องกระทำการนั้น ไม่กระทำการนั้น หรือจำยอมต่อสิ่งนั้น เป็นการกระทำอันเป็นกรรมเดียว เป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบทให้ลงโทษตามกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุด แต่ความผิดบทหนักตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 กับพระราชบัญญัติ ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2561 มาตรา 172 มีระวางโทษเท่ากัน จึงให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 จำคุก 8 ปี

จำเลยทั้งเจ็ดรับข้อเท็จจริงบางส่วนและนำสืบเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาอยู่บ้าง หลังเกิดเหตุ จําเลยทั้งเจ็ด พยายามช่วยเหลือผู้ตายโดยช่วยปั๊มหัวใจผู้ตาย และรีบนำตัวผู้ตาย ส่งโรงพยาบาล จนแพทย์ช่วยรักษาผู้ตายมีสัญญาณชีพและหัวใจกลับมาเต้นก่อนที่ผู้ตาย จะถึงแก่ความตายในเวลาต่อมา รู้สึกความผิดช่วยค่าปลงศพผู้ตายเป็นเงิน 30,000 บาท และวางเงินบรรเทาผลร้ายให้แก่โจทก์ร่วมบิดามารดาทั้งสองคนละ 300,000 บาท นับเป็นเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้หนึ่งในสาม คงลงโทษจำคุก จำเลยที่ 1-5, 7 ไว้ตลอดชีวิต คงจำคุกจำเลยที่ 6 ไว้ 5 ปี 4 เดือน ข้อหาและคำขออื่นให้ยก

ส่วนคำร้องขอให้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 44/1 เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยที่ 1 กับพวกร่วมกันกระทำความผิดฐานร่วมกันฆ่าผู้ตาย โดยกระทำทรมานหรือโดยทารุณโหดร้าย จึงเป็นการละเมิดต่อโจทก์ร่วมทั้งสองซึ่งเป็นบิดาและมารดา ผู้ตายตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 420 แต่เมื่อจำเลยทั้งเจ็ดเป็นเจ้าพนักงาน เป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐซึ่งกระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ โดยที่พระราชบัญญัติความรับผิด ทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ.2539 มาตรา 5 บัญญัติว่า หน่วยงานของรัฐต้องรับผิดต่อผู้เสียหาย ในผลแห่งละเมิดของเจ้าหน้าที่ของตนได้กระทำในการปฏิบัติหน้าที่ ในกรณีนี้ผู้เสียหายอาจฟ้องหน่วยงานของรัฐดังกล่าวได้โดยตรง แต่จะฟ้องเจ้าหน้าที่ไม่ได้  ดังนั้น โดยผลของมาตรา 5 ดังกล่าว โจทก์ร่วมทั้งสองเป็นบิดาและมารดาของผู้ตายซึ่งเป็นผู้เสียหายในผลแห่งละเมิดของเจ้าหน้าที่รัฐ จึงไม่มีอำนาจฟ้องเจ้าหน้าที่ของรัฐที่ได้กระทำการในการปฏิบัติหน้าที่ได้ จึงเป็นผลให้โจทก์ร่วมทั้งสอง ผู้เสียหายจากการกระทำละเมิดเนื่องจากการปฏิบัติหน้าที่ไม่มีสิทธิ์ยื่นคำร้องต่อศาลที่พิจารณาคดีอาญา ขอให้บังคับจำเลยทั้งเจ็ดซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่ตนตามประมวลกฎหมาย วิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 44/1 วรรคหนึ่ง ได้

ทั้งนี้การยกคำร้องขอดังกล่าวมิได้เป็นการตัดสิทธิในการเรียกร้องค่าสินไหมของโจทก์ร่วมทั้งสอง แต่โจทก์ร่วมทั้งสองต้องไปดำเนินการเรียกเอากับหน่วยงานของรัฐที่จำเลยทั้งเจ็ดสังกัด