×ข่าวรายการผังรายการรายการสด ร่วมงานกับเราติดต่อเรา

จากดาราสาวสู่ "ร่างทรง" โคตรสวย "แพร ชนันท์ภัสส์" โอมพ่อปู่จงลงๆ

จากดาราสาวสู่ "ร่างทรง" โคตรสวย "แพร ชนันท์ภัสส์" โอมพ่อปู่จงลงๆ
2024-09-22 06:00:22

จากดาราสาวสู่ "ร่างทรง" โคตรสวย "แพร ชนันท์ภัสส์" โอมพ่อปู่จงลงๆ ปรากฏการณ์นี้ส่อถึงอะไร ?



ถือว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในชีวิตของ "แพร ชนันท์ภัสส์" อดีตนักแสดงสาวชื่อดัง ที่ผันตัวมาเป็นร่างทรง "ปู่ฤๅษีตาไฟ" ซึ่งได้สร้างความฮือฮาและเป็นที่จับตามองของสังคมอย่างมาก การตัดสินใจครั้งนี้ไม่เพียงแต่สะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อส่วนบุคคลที่ยากอธิบาย แต่ยังเปิดประเด็นการวิจารณ์ที่น่าสนใจเกี่ยวกับความเชื่อ ศาสนา และการเปลี่ยนแปลงในชีวิต




การที่ "แพร ชนันท์ภัสส์" เลือกที่จะเปิดเผยประสบการณ์ส่วนตัวและความรู้เกี่ยวกับการเป็นร่างทรงผ่านช่องทางโซเชียลมีเดียอย่างติ๊กต็อกนั้น นับเป็นการเข้าถึงกลุ่มผู้ชมที่หลากหลายและกว้างขวางยิ่งขึ้น ทำให้เกิดการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและทัศนคติที่แตกต่างกันไป การกระทำของเธออาจเป็นแรงบันดาลใจให้กับผู้คนจำนวนมากที่กำลังมองหาหนทางในการพัฒนาตนเองและแสวงหาความหมายในชีวิตกับเส้นทางดังกล่าว



อย่างไรก็ตาม การที่บุคคลสาธารณะอย่าง "แพร ชนันท์ภัสส์" เข้ามาเกี่ยวข้องกับเรื่องราวที่เกี่ยวกับความเชื่อและสิ่งเหนือธรรมชาติ ก็ย่อมก่อให้เกิดทั้งคำถามและข้อสงสัยจากสังคม การวิพากษ์วิจารณ์ในเชิงบวกและเชิงลบจึงเป็นเรื่องปกติที่เกิดขึ้นตามมา ซึ่งสิ่งสำคัญคือการเปิดใจรับฟังความคิดเห็นที่หลากหลายและพิจารณาอย่างรอบคอบ



การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ของ "แพร ชนันท์ภัสส์" สะท้อนให้เห็นว่าชีวิตของมนุษย์นั้นไม่หยุดนิ่ง การเปลี่ยนแปลงเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้เสมอ และแต่ละคนก็มีสิทธิ์ที่จะเลือกเส้นทางเดินของตนเอง การตัดสินใจของเธออาจจะถูกมองว่าเป็นเรื่องแปลกใหม่หรือไม่เข้าใจสำหรับบางคน แต่สำหรับตัวเธอเองแล้ว นี่อาจจะเป็นการเดินทางที่สำคัญและมีความหมายที่สุดในชีวิตก็เป็นได้



สรุปได้ว่า การที่ แพร ชนันท์ภัสส์ ผันตัวมาเป็นร่างทรงปู่ฤๅษีตาไฟ นับเป็นปรากฏการณ์ที่น่าสนใจและจุดประกายให้เกิดการพูดคุยและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นในวงกว้าง ทั้งนี้ การยอมรับและเคารพในความเชื่อของผู้อื่นเป็นสิ่งสำคัญ แต่การใช้เหตุผลและวิจารณญาณในการพิจารณาข้อมูลต่างๆ ก็เป็นสิ่งที่จำเป็นเช่นกัน

คำถามที่ตามมา อาทิ ทุกคนคิดว่า "แพร ชนันท์ภัสส์" เป็นร่างทรงจริง หรือว่าเป็นเพียงการแสดง ? , คุณคิดว่าโซเชียลมีเดียมีบทบาทอย่างไรในการเผยแพร่ความเชื่อและวัฒนธรรมเช่นนี้ ? , ควรจะเปิดใจรับฟังความเชื่อที่แตกต่างจากเราหรือไม่ ? 





โดย "แพร" เปิดใจว่าที่บ้านมีความเชื่อเรื่องเหล่านี้อยู่แล้ว พ่อเป็นคนไทยเชื้อสายจีน เชื่อเรื่องการไหว้เจ้า ไหว้บรรพบุรุษ ส่วนคุณแม่เป็นคนไทยเชื้อสายมอญ เสี้ยว โปรตุเกส จะเชื่อเรื่องไม่นำตุ๊กตาเข้าบ้าน ไม่เล่นตุ๊กตา และเชื่อเรื่องไสยศาสตร์ ส่วนตัวเองเป็นคนมีซิกเซ้นส์อยู่แล้วในระดับหนึ่งมีความเชื่อเรื่องไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์มาตั้งแต่เด็ก ผ่านการครอบครู ไหว้ครู จากการเป็นเด็กนาฏศิลป์ รำไทย รำโขนมาก่อน

ช่วงอายุประมาณ 16-17 ด้วยการทำงานออกต่างจังหวัดต่างที่ต่างถิ่น ก็มีเรื่องแปลกๆ เกิดขึ้น คุณแม่พาไปอาบน้ำมนต์ที่วัดเจดีย์หอย ตอนนั้นได้เจอหลวงพ่อทองกลึง ท่านให้ความเมตตามากๆ ทุกครั้งที่ไปกราบท่าน ท่านมักจะสอนอะไรหลายๆ อย่าง รวมถึงท่านเคยช่วยเหลือให้ผ่านเรื่องการโดนทำของ โดนสิ่งไม่ดีติดตาม เลยเป็นจุดเริ่มต้นทำให้สนใจเรื่องการสวดมนต์และการนั่งสมาธิ ทำมาเรื่อยๆ จนช่วงนึงรู้สึกว่าตัวเองมีซิกเซ้นส์ที่ชัดเจนขึ้น กลัวก็เลยหยุดนั่งสมาธิ หยุดเชื่อ โฟกัสที่ตัวเองเป็นหลัก แต่มีหลายสถานการณ์แปลกๆ เกิดขึ้น จนถึงขั้นคนรอบข้างมาทักว่าควรไปปฏิบัติธรรมที่วัด ก็ตัดสินใจกลับมาสวดมนต์ นั่งสมาธิ ปฏิบัติธรรมเรื่อยๆ เท่าที่มีโอกาส จากนั้นก็สนใจการดูดวง เพราะอยากดูให้ตัวเองได้ ศาสตร์แรกที่ศึกษาเองคือศาสตร์ไพ่ป๊อก และศึกษาต่อไพ่ยิปซี เรียนจากอาจารย์ที่เคยดูดวงให้ ท่านมีชื่อเสียงมากในตอนนั้นเรื่องการดูดวงไพ่ยิปซี



จากนั้นก็สนใจเรื่องยันต์ อยากรู้ อยากเขียนเป็น เอาไว้เป็นความรู้รอบตัว แต่หลังจากเรียนจบวิชาอักขระเลขยันต์ และพระเวชแล้ว ก็เรียนต่อเนื่องอีกหลายวิชา เช่น พิธีกรรม ฮวงจุ้ย ตั้งชื่อ ออกฤกษ์หรือสักยันต์เป็นต้น ตอนนั้นอาจารย์ผู้สอนแนะนำว่าไปทำเองได้แล้ว แต่รู้สึกไม่มั่นใจ คิดว่ายังไม่พร้อม และไม่ได้มีจุดประสงค์นี้มาตั้งแต่แรก อาจารย์ก็เลยให้รับตำแหน่งเป็นกรรมการกิจกรรมของสมาพันธ์วิทยาการอักขระของเลขยันต์ พิธีกรรม และโหราศาสตร์ มีโอกาสได้ช่วยสอน ทบทวนบทเรียน รวมถึงสั่งสมประสบการณ์มาเรื่อยๆ จนพร้อมมาทำของตัวเอง และมีโอกาสได้พบกับปู่ฤาษีเนตรอัคคีมุนีเทวา ปู่รับเป็นศิษย์และสอนอะไรหลายอย่าง ไม่ว่าจะเรื่องคติธรรม ศาสตร์และวิชาต่างๆ รวมถึงการปฏิบัติตัว ถือว่าเป็นความโชคดีของตัวเองด้วยที่มีความรู้ทั้งสายพราหมณ์ ศาสตร์ขอม และศาสตร์ล้านนาเป็นต้น ปู่ฤาษีเนตรอัคคีมุนีเทวาได้ตั้งชื่อว่าศิลาศรม เทพประทานพร

การเดินเส้นทางนี้ ไม่ได้เกิดจากความงมงาย หรือหลงตัวเอง แต่เกิดจากประสบการณ์การเรียนรู้ และฝึกฝน จนเป็นศิษย์ที่มีครู