×ข่าวรายการผังรายการรายการสด ร่วมงานกับเราติดต่อเรา

“เจนนี่ ปาหนัน“ เปิดใจบทพี่เลิศพาปัง! เล่าชีวิตไม่เคยอยากเป็นดารา สวยได้เพราะกรดไหลย้อน

“เจนนี่ ปาหนัน“ เปิดใจบทพี่เลิศพาปัง! เล่าชีวิตไม่เคยอยากเป็นดารา สวยได้เพราะกรดไหลย้อน
2024-12-19 13:00:16

“เจนนี่ ปาหนัน“ เปิดใจบทพี่เลิศพาปัง! เล่าชีวิตไม่เคยอยากเป็นดารา สวยได้เพราะกรดไหลย้อน



"เจนนี่ ปาหนัน" นักแสดงสาว LGBTQ สุดปัง เปิดใจกับบทพี่เลิศที่บอกเลยว่าเลิศสมชื่อ กระแสดีไม่มีตกทำคนพูดถึงทั้งประเทศ พร้อมย้อนเล่าจากเด็กใต้ขี้เหร่ไม่เคยคิดว่าตัวเองจะกลายมาเป็นดาราได้ เปิดที่มาความสวยแซ่บนี้เหตุเกิดจากเพราะกรดไหลย้อน ทำให้ต้องหันมาเอาใจใส่ดูแลเรื่องการกินอย่างเข้มงวด จนน้ำหนักลดฮวบ ทุกประเด็นในรายการคุยแซ่บShow 




ตอนนี้ต้องเรียกพี่เลิศกระแสมาแรงมาก ตีบทแตก ?
เจนนี่ : ต้องขอบคุณทางทีมผู้จัดพี่แอนแล้วก็พี่นุชี่ผู้กำกับที่พยายามตื๊อหนูให้ไปเล่น เราคุยกับพี่แอน พี่นุชี่ว่า ถ้าเป็นละครยาวไม่แน่ใจว่าจะมีคิวให้เยอะมั้ยเพราะตอนนั้นเค้าแจ้งว่าเราต้องเป็นพี่สาวนางเอก เหมือนจะเล่นประกบเลยเจอนางเอกที่ไหนก็จะเจอเราที่นั่นคิวก็เยอะ อย่างมากเมื่อก่อนเราก็จะซีรีส์ไม่กี่ตอน ด้วยความมั่นเนอะ พี่แอนถ้าสามารถจัดคิวให้หนูได้หนูก็ไปเล่นนะคะ แล้วก็ฝีมือการแสดงก็ขี้เหร่แต่ไปบอกเค้าว่าก็เคลียร์คิวมาให้หนูซิคะหนูถึงจะไปเล่นได้ ผู้กำกับก็โทรมาตื๊อพยายามบอกว่าฉันเขียนบทนี้มาเพื่อเธอเลยนะ ด้วยความที่ผ่านมาเราเล่นซีรีส์เป็นตลกเป็นตัวฮาหมดเลย เป็นผู้จัดการดารา เป็นเพื่อนสาว เราเบื่อแล้วเราอยากเล่นอะไรที่มันพัฒนาฝีมือตัวเอง เขาก็บอกมาว่าบทนี้มันมีความจริงจังดราม่าล้วนๆ ก็น่าสนใจ ก็ขอบคุณพี่แอนที่พยายามไปแมตช์คิวให้เรา เราก็เลยได้มาเล่นเป็นพี่เลิศ

เล่นไม่ตลกซีเรียสดราม่ายากมั้ย ?
เจนนี่ : เราบอกเค้าตั้งแต่แรกเลยว่าหนูร้องไห้ไม่ได้นะคะ ในชีวิตไม่เคยร้องไห้ให้กับอะไรเลยนอกจากผู้ชายอย่างเดียว ที่ผ่านมาไม่เคยสมหวังเรื่องความรักเราก็เลยจะร้องไห้ให้เรื่องนั้นเรื่องเดียว พ่อแม่มีปัญหาที่บ้านเป็นหนี้สินน้ำท่วมยังไม่เคยร้อง



แล้วพอบอกว่าเราร้องไห้ไม่ได้ ?
เจนนี่ : เค้าก็ไปให้พี่เจอคุณครูแอ็คติ้งคลาสไปเรียนเพิ่มครั้งสองครั้งเทคนิคการร้องไห้จะร้องยังไง เค้าก็พยายามดึงปมในชีวิตเราออกมา ซึ่งง่ายมากปมเราเยอะมากในชีวิต เค้าก็บอกว่าเวลามาเล่นก็คิดถึงเรื่องในชีวิตให้เอามาใช้กับบท เราก็พยายามตั้งใจเรียน พอเรารับปุ๊บเราตั้งใจเลยฉันอยากลองเปลี่ยนมาดราม่า พอมาเล่นพี่นุชี่เค้าก้มีเทคนิคในการถ่ายทำ มีเทคนิคในการบิ๊วต์

ได้เล่นคู่กับคนที่เขาเกิดมาเพื่อเราอีก ?
เจนนี่ : อย่าบอกว่าเกิดมาเพื่อเราซิ สงกสารเป็นตราบาปในชีวิตพี่เค้า พี่เดี่ยว สุริยนต์ ตรงสเปกทุกอย่าง เอาจริงๆ คือเขิน ตอนรับเล่นก็ไม่ได้ถามเลย เราก็จะรู้แค่ว่าเรามีความรัก แต่ตอนนั้นเราก็มุ่งมั่นฉันเจอบทดราม่าฉันต้องเล่นเรื่องนี้ ฉันต้องได้นาฎราชจิตใจอยู่ตรงนั้นเลย พอวันฟิตติ้งก็เห็นว่าพี่เดี่ยวเดินเข้ามาก็ถามว่าพี่เดี่ยวเล่นเป็นอะไร เล่นเป็นสามีพี่เลิศไง แฟนเจนนี่ (กรี๊ด) ผัวฉันดีมากตอนนั้นคือกรี๊ดเลย เวลาเจอคนที่ชอบเราจะเป็นอีกคนเลย ตลอดการถ่ายทำกับพี่เดี่ยวหนูแทบไม่คุยกับพี่เดี่ยวเลย



มีฉากไหนที่เล่นกับพี่เดี่ยวแล้วเขินสุด ?


เจนนี่ : เขินทุกฉากเลย ส่วนใหญ่ฉากพี่เดี่ยวจะเป็นฉากคู่รักจะต้องคลอเคลียจะต้องแนบชิด มีอันนึงตลกมากพี่เดี่ยวเขามาหอมแก้มเรามันไหลไปตามบท เราก็รู้สึกผิดเราก็บอกพี่เดี่ยวขอโทษนะคะ เราไปขอโทษเค้าที่เค้ามาหอมแก้มเรา

อินเนอร์ของความเป็นแม่ตอนแสดงคิดถึงอะไร ?
เจนนี่ : อันนี้มีความรู้สึกว่ามันไม่ได้ยากเท่าการร้องไห้ การร้องไห้สำหรับเรามันยากกว่า พอเล่นเป็นแม่ด้วยความที่เราชอบเล่นกับเด็กแล้วก็วางแผนไว้แล้วว่าจะมีลูก ความเป็นแม่มันน่าจะอยู่ในส่วนลึก

ขอถามเรื่องลูก เราเก็บของเราไว้แล้วเหรอ ?
เจนนี่ : ฉันไม่มีต้องเก็บ เดี๋ยวจะคุยกับน้องสาว จะให้น้องสาวเก็บไข่ไว้ ยังไม่ได้คุยจริงจังเพราะยังไม่รู้ว่ามันจะเรียกเยอะเท่าไหร่ เราวางแผนไว้ว่าฝั่งน้องสาวจะเก็บไข่ไว้แล้วก็จะเป็นของแฟนเรา

ตอนนั้นถ้ามองย้อนไปไม่คิดว่าตัวเองจะมาอยู่ในจุดที่เป็นดาราดัง ?
เจนนี่ : คือหนูไม่เคยคิดว่าจะได้เป็นดาราเลย เด็กๆ วงการบันเทิงมันยังไม่เหมือนปัจจุบันที่จะเปิดกว้าง เมื่อก่อนจะหน้าตาดีคนหล่อ คนสวย ที่คิดอยากจะเฉียดวงการบันเทิงมากที่สุดคืออยากเป็นดีเจ เมื่อก่อนดีเจจะไม่เห็นหน้า จะเป็นดีเจคลื่นวิทยุยังไม่จัดตู้ แล้วเป็นคนชอบพูด ความฝันคืออยากทำงานสื่อ ตอนเด็กๆ อยากเรียนนิเทศฯ แต่เมื่อก่อนตอนเด็กเรายังไม่รู้ว่าตำแหน่งมันเรียกว่าครีเอทีฟ เราอยากทำสื่อสารมวลชน อยากทำในวงการบันเทิงเป็นเบื้องหลัง



จุดเริ่มต้นที่ได้ก้าวเข้ามา ?
เจนนี่ : ก็คือแทรชเชอร์ แบงคอก ตอนนั้นเป็นเหมือนกลุ่มที่จัดปาร์ตี้ทำคลิปวีดีโอล้อเลียนลงยูทูบ ตอนนั้นยูทูบเพิ่งมาใหม่ๆ เราเป็นรุ่นน้องของพี่โจ้ที่ก่อตั้งแทรชเชอร์ เค้าก็ก็ดึงเรามาเล่นเป็นนางเอก MV ล้อเลียนเพลงฝรั่ง กลายเป็นว่าคนก็เริ่มเห็นเหมือนคนเบื้องหลังที่ชาแนลวีไทยแลนด์ แบง ชาแนล เค้าก็รู้จักจากผลงานเค้าก็ติดต่อทาบทามมาเลยได้มาเป็นครีเอทีฟที่แบงชาแนลก็เลยเข้ามาจีเอ็มเอ็มทีวี จากนั้นโดนพี่แป๋มใช้อำนาจหน้าที่ผลักดันให้ออกข้างหน้ามาเป็นพิธีกรเทยเที่ยวไทยคนที่ 4



ตอนนั้นยังไม่อยากออกมาเป็นเทยเที่ยวไทยคนที่ 4 ?
เจนนี่ : ไม่ใช่ยังไม่อยากค่ะ ปฏิเสธเลย ตอนพี่แป๋มเรียกคุยว่าจะให้เป็นพิธีกรเทยเที่ยวไทยคนที่ 4 เราก็ปฏิเสธเลย เหมือนตอนนั้นเราได้เป็นเบื้องหลังเป็นครีเอทีฟของเทยเที่ยวไทยแล้ว คือแฟนรายการจะรู้จักทีมงานทุกคนเพราะว่ามันเป็นรายการที่ทีมงานออกกล้องหมด เราก็โดนลากออกไปเล่น ตอนนั้นก็รู้สึกว่าคนก็รู้จักแล้วว่าเราเป็นเจนนี่เทยเที่ยวไทยที่เป็นครีเอทีฟ แล้วจะให้เป็นพิธีกรเทยเที่ยวไทยไม่เอาแล้ว เพราะว่าเป็นภาพจำไปแล้วว่าเทยเที่ยวไทยมี 3 เทย พี่กอล์ฟ พี่ป๋อมแป๋ม พี่ก๊อตจิ เราก็เลยปฏิเสธ พี่มิ้นท์หัวหน้าใหญ่ก็เรียกเข้าไปคุยอีก จนสุดท้ายพี่แป๋มมามัดมือชกบนคอนเสิร์ตเทยแฟร์ประกาศว่าเราเป็นพิธีกรเทยเที่ยวไทยคนที่ 4 คนกรี๊ดดดดด สุดท้ายก็เลยได้มาเป็นพิธีกรเทยเที่ยวไทยคนที่ 4 อันนี้เรียกได้ว่าเข้าวงการบันเทิงแบบเต็มตัวเลย

ที่สวยขึ้นเพราะมีคนทักไปทำจมูก ?


เจนนี่ : เราไม่ได้เคยคิดอยากทำสวยเลย เราเข้าเทยเที่ยวไทยมาได้เราเข้ามาด้วยความตลก ถ้าหน้าทำจมูกอย่างเดียว แล้วก็ฟิลเลอร์ เลเซอร์ แล้วที่ไปทำจมูกไม่ใช่อยากสวยนะแต่หมอดูทักว่าเรื่องที่เราหวังที่เราปราถนาอยู่ที่เราติดขัดถ้าทำจมูกมันจะราบรื่น บวกกับกรดไหลย้อนด้วย ไม่ได้อาการหนักถึงขั้นต้องเข้าโรงพยาบาล มันเป็นอาการรำคาญมาก มันเปรี้ยวที่คอ มันแสบคอ มันเหมือนมีก้อนอะไรก็ไม่รู้อยู่ในคอ มันเป็นก้อนที่เรารู้สึกทุกครั้งที่เรากลืนน้ำลาย เลยไปหาหมอแล้วเราพอจะทำอะไรจะจริงจังมาก จะอินมาก หมอบอกว่าหฟ้ามทำอะไรก็คือห้ามทำเลย อาหารที่ห้ามกินมันมีเยอะมากไม่กินเลย แกงส้ม แกงไตปลา ไม่ได้กินเลยเกือบ 2 ปี เค้าห้ามของเปรี้ยว ของเผ็ด ของมัน ของทอด ของรสจัด มันก็เหลือแค่จืดหวานเค็ม แล้วตอนนั้นลดหวาน แล้วไม่กินเค็ม กลายเป็นว่าหนูกินแต่ข้าวไก่อบ เหมือนกินคลีน แล้วกินเป็นเวลา 1 คำเคี้ยว 40 ครั้ง ออกกำลังกายกินน้ำวันละ 2 ลิตร นอนก่อน 4 ทุ่ม เปลี่ยนทุกอย่างเลย น้ำหนักลดลงไปโดยไม่รู้ตัว คนก็ทักทำไมผอมลง ตอนนั้นก็นึกว่ามีอีกโรคนึงหรือเปล่าวะ ผอมลงประมาณ 12-13 โล ไปผ่าตัดทอมซิลอีกน้ำหนักลดลงไปอีก 5 โลอีก ตอนนี้ทุกอย่างยังไม่หายดี จริงๆ หมอบอกว่าโรคนี้เป็นเหมือนโรคเวรกรรม มันจะไม่ได้หายขาด ถ้าเรากลับมากินเละเทะอีกมันก็จะมาอีก เทคนิคอย่างนึงของกรดไหลย้อนอย่าไปสนใจมัน ถ้าเรารู้สึกว่ามันจะเปรี้ยวหรือเปล่า มันจะมา มันจะเป็นเหมือนอุปทานนิดนึง ทุกวันนี้ไม่สนใจละ



อีกมุมที่ไม่เคยรู้เลยคือชอบทำบุญ ?
เจนนี่ : ทำบัญกับวัดวาอาราม โรงพยาบาล อาจจะเพราะโตมากับควันธูปล่ะมั้ง มีช่วงที่ไหว้พระสวดมนต์แบบเต็มสตรีมเลยประมาณชั่วโมงครึ่ง สวดเสร็จกรวดน้ำ ไหว้องค์พ่อพระพิฆเนศ พระแม่ต่างๆ อีก ไหว้พญานาค ไหว้ท้าวเวสสุวรรณ ประมาณชั่วโมงครึ่งทุกวันเท่าที่ทำได้

นั่งสมาธิล่ะ ?
เจนนี่ : นั่งสมาธิเพิ่งมาเราก็จะทำบุญอย่างอื่นถวายสังฆทานไปบริจาค ใครจะทำบุญอะไรเค้าจะทักมาหาเราร่วมทำบุญมั้ยเราก็ร่วมทำบุญ นั่งสมาธิเป็นอ่ยางเดียวที่ปฏิเสธนั่งไม่ได้ยุกยิกคันหัว พอหลับตาจะมีมือมาลูบอะไรมั้ย เรามีความรู้สึกว่าเราเป็นคนไฮเปอร์ เป็นคนสมาธิสั้น จะอยู่นิ่งๆไม่ได้ จนไปทำบุญที่พม่าแล้วเจอหลวงพ่อ หลวงพ่อก็เลยทัก ท่านเป็นเหมือนสายกรรมฐานนั่งสมาธิอยู่แล้ว ท่านทักเราว่าโยมเจนนี่ทำบุญเยอะจังเลยเนาะ แต่โยมไม่เคยนั่งสมาธิเลยใช่มั้ย อ้าวรู้ได้ไง เพราะเราไม่เคยบอกใครว่าเราไม่เคยนั่งสมาธิ เราก็เลยรู้สึกว่าเหมือนท่านจะเห็นอะไรแน่เลย ท่านก็เทศน์เราว่าการทำบุญในพุทธศาสนาเป็นบุญใหญ่ที่สุดนะคือการนั่งสมาธิ ศีลคือยาทา ภาวนาคือยากิน เวลาโยมป่วยยาที่ได้ผลก็คือยากิน มันก็เปรียบเหมือนสามาธินะ กลับมาจากพม่าเราก็นั่งเลยวันแรกนั่งไป 40 กว่านาที ตอนนั่งแรกๆเราไม่ได้ศึกษาอะไรมาก นั่งทุกวันจนไปอินเรื่องกฎการดึงดูดเลยนั่งนาน 3 ชั่วโมงต่อ 1 วัน กลายเป็นว่าทุกคนบอกว่าเจนนี่มึงออกจากห้องบ้าง ออกมาเจอคนบ้าง

มันอินเหรอ มันชอบเหรอ ?
เจนนี่ : มันอิน มันมีช่วงนึงที่นั่งสมาธิไปวันละ 30-40 นาที แล้วเราไปเจอเรื่องกฎแห่งแรงดึงดูด เรื่องเมนิเฟสที่เค้าดึงเรื่องการนั่งสมาธิมาเป็นขั้นตอนในการใช้กฎแรงดึงดูด เราก็ศึกษาแล้วเรารู้สึกว่าเราชอบเมนิเฟสชอบการใช้กฎแห่งแรงดึงดูด เราก็เลยเอามาผนวกกับการนั่งสมาธิ กลายเป็นว่านั่งนาน พอนั่งไปซักพัก 30-40 นาทีเราก็จินตนาการภาพสิ่งดีๆที่เราอยากจะให้เกิดกับเรา



เมนิเฟสท์คือการจินตนาการในสิ่งที่เราอยากเป็น ?
เจนนี่ : ใช่ พูดง่ายๆ มันเป็นการเอากฎแรงดึงดูดมาใช้ เหมือนที่เราบอกว่าเราคิดดีแล้วเราจะดึงดูดสิ่งดีๆ เช้ามาเราก็คิดแต่สิ่งดีๆ แต่เมนิเฟสท์มันจะขั้นกว่าเราคิดภาพเหล่านั้นเราต้องรู้สึกด้วย เราต้องรู้สึกออกมาทางร่างกาย เช่นบูมบอกว่าอยากมีเงินร้อยล้าน แล้วเราก็ต้องคิดภาพว่าเรามีเงินร้อยล้านแล้วเราก็ต้องรู้สึกว่าตอนเรามีร้อยล้านเรารู้สึกยังไงแล้วก็มันจะผลักให้เราลงมือทำ

เรื่องของความรักโฟกัสมั้ย ?
เจนนี่ : ความรักที่มีคือความรักตัวเองเท่านั้น

คลิปสัมภาษณ์
https://youtu.be/RUs6hXQSifw?si=zlqwrrO0v18LYBkC