"แม็กกี้ อาภา" เปิดใจครั้งแรกหลังไม่ต่อสัญญาช่องมากสี
เพราะอะไรที่ทำให้ "แม็กกี้ อาภา" โบกมือลาไม่ต่อสัญญากับช่องมากสี งานนี้เธอควงคุณพ่อ "อรุณ ภาวิไล" พูดคุยทุกประเด็นผ่านทางรายการ คุยแซ่บshow
หมดสัญญากับช่องเดิม ?
แม็กกี้ : ประมาณเกือบจะ 10 ปี
พ่อตุ๋ย : ทีละ 5 ปี 2 รอบแล้ว
ทำไมถึงไม่ต่อ ?
แม็กกี้ : เป็นจังหวะที่แม็กกี้หมดสัญญาพอดี แล้วช่วงสถานการณ์โควิดที่ผ่านมา ได้มีโอกาสไปปฏิบัติธรรมกับคุณแม่ได้ไปเจอกัลยาณมิตรที่ดี ได้มาศึกษา เจอธุรกิจใหม่
ตอนนี้เราให้น้ำหนักกับธุรกิจใหม่ของเรามากกว่า ?
แม็กกี้ : ถือว่าเป็นช่วงที่เราให้ความสนใจ มีธุรกิจที่ทำอยู่ในช่วงโควิด 3 อย่าง ก็จะมีอสังหาฯ ทัวร์ และธุรกิจออนไลน์เพราะคิดว่าช่วงโควิดธุรกิจออนไลน์กระทบน้อยที่สุด เราเลยคิดว่าอยากมีแบรนด์เป็นของตัวเองสักชิ้น
ลูกสาวมาปรึกษาไหมตอนที่จะต่อสัญญา แล้วบอกว่าหนูไม่ต่อ ?
แม็กกี้ : เขาไม่ได้ปรึกษาเรื่องนี้นะ ส่วนใหญ่เขาจะปรึกษาบทที่จะได้รับเรื่องนี้ พ่ออ่านสิมันเหมาะกับหนูไหม แล้วมันควรเล่นหรือเปล่า แน่จากช่อง7 นี้ผมไม่รู้ ต่อก็ดี ไม่อยู่ก็ไม่เป็นไร จะไปช่องไหนก็ได้ จะมาช่อง one ก็โอเค

จริงๆ เหตุผลเลยคือไม่ได้น้อยใจช่องใช่ไหม ?
แม็กกี้ : ไม่น้อยใจเลยค่ะ เพราะว่าคนรู้จักแม็กกี้ได้ 2 อย่าง คือรู้จักเพราะว่าแม็กกี้เป็นลูกของคุณพ่อ แล้วอีกอย่างรู้จักเราจากผลงานของเราจริงๆ เรียกว่าเราก็เติบโตมา แต่พอถึงวันนี้เราคิดว่าเราอยากพัฒนาตัวเองมากขึ้น เพราะที้ผ่านมาทุกคนจะมีทักษะด้านเดียว
พ่อตุ๋ย : ผมจะบอกลูกเสมอนะว่านักแสดงเหมือนใบไม้ผลิใบ มันเปลี่ยนใบไปเรื่อยๆ ถ้ายังอยู่ต่อมันก็ต้องเล่นตามวัยถ้าอยู่ต่อให้สมวัยก็ต้องเป็นพิธีกร ผู้ประกาศข่าว
แม็กกี้ : คุณพ่อก็อยากให้ฝึก
ตอนเป็นนักแสดงใหม่ๆ คนส่วนใหญ่บอกว่าดังเพราะพ่อ เพราะเป็นลูกพ่อ ?
แม็กกี้ : ก็โดนเยอะ แรกๆ เข้ามาเขาคิดว่าเราเด็กเส้นแน่นอน เราเป็นลูกของคุณพ่อไง แต่ว่าพ่อจะให้กำลังใจเสมอแล้วบอกว่า ถ้าสมมติเราเล่นไม่เก่งจริง ฝีมือไม่ดีจริง ไม่มีผู้จ้าง ผู้จัดคนไหนเอาเราทำงาน เคยเรียนการแสดงกับคุณพ่อเหมือนกัน คุณพ่อเคยเปิดสอนอยู่สั้นๆ แล้วแม็กกี้เข้าไปเรียน พ่อไม่ได้อวยลูกเลยนะ พ่อด่า ว่าเลยต่อหน้าลูกศิษย์ทุกคน แม็กกี้ทำแบบนี้คือผิด ไม่มีแบบว่าอนุโลมว่านี่คือลูกสาว ผิดคือผิดเลยแล้วให้แก้ไข แล้วเขาให้กำลังใจ ถ้าเราจะอยู่ตรงนี้ได้ต้องฝีมือเลย

อันไหนยากกว่ากัน หน้ากล้องหรือหน้าคุณพ่อ ?
พ่อตุ๋ย : รู้สึกว่าเขาจะไม่กลัวพ่อแล้ว เขาชินแล้ว คำถามคือเขาโตเพราะผมหรือเปล่า คือผมก็มีส่วน ผมเป็นนักแสดงแต่จริงๆ เขาโตเพราะแม่ เพราะว่าแม่เขาตามผมไปทุกกองถ่าย แล้วจากนั้นมาเขาเป็นคนพาแม็กกี้เข้าไปหางานที่ช่อง7 ที่นู้น ที่นี่ ฝีมือแม่เขาล้วนๆ ไม่ใช่ผม
ดังได้เพราะแม่ ?
พ่อตุ๋ย : เพราะแม่ แม่ดัน
ตอนนั้นคุณพ่อสอนว่ายังไงบ้าง ?
พ่อตุ๋ย : อยากให้เข้าวงการ เพราะว่าผมเข้าวงการมาแล้วความได้เปรียบของคนที่เป็นนักแสดงเนี่ย ถ้าเกิดจะทำธุรกิจมันง่ายที่เราจะคุยกับนายทุนเลย ถ้าเป็นคนธรรมดาไปของานเขา โอ้โหกว่าจะไปถึงหัวหน้าแทบตาย
พ่ออยากให้ลูกได้สิ่งที่พ่อเคยได้ ?
พ่อตุ๋ย : ใช่ มันได้เปรียบ
แม็กกี้ : แต่หนูได้มานะ หนูได้ความเอ็นดูมา เพราะว่าคนส่วนใหญ่เขารู้จักคุณพ่อ ก็จะได้ความเอ็นดูเพิ่มขึ้น
พ่อตุ๋ย : แต่มีอยู่ข้อหนึ่งที่ผมสอนเขาอยู่เสมอ ถ้าจะเป็นนักแสดงที่ดี คือต้องเป็นคนดี อย่างแรกของคนดีก็คือ คนไทยสไมล์ คันทรี่ แล้วต้องไหว้ให้หมดเลย
ตอนนั้นมีข่าวแม็กกี้เบี้ยวละครไปรับอีเวนต์เหรอ ?
แม็กกี้ : ไม่มี ไปถ่ายละครทุกวันเลยค่ะ
มันมีข่าวออกมาไงว่าพอจะขอคิวกองละครไม่ให้ แต่ให้คิวอีเวนต์ แต่จริงๆ เขาไม่ได้พูดถึงเรา เขาพูดถึงนักแสดงหลายๆ คน แต่ตอนนั้นโยงมาถึงเขาด้วย แต่จริงๆ มันไม่ใช่เราถูกไหม ?
แม็กกี้ : ไม่ใช่
พ่อตุ๋ย : นักแสดงไม่จำเป็นต้องตามกองถ่ายตลอดเวลา เพราะว่ากองถ่ายเนี่ยเขาจะถ่ายเป็นเดือน เพราะฉะนั้น จังหวะที่มีงานนอกเข้ามาเราล็อก เราก็ต้องแจ้งกองถ่าย
แม็กกี้ : ไม่ แต่ตอนนั้นไม่ได้มีงานอื่นเลย ต้องอธิบายว่าสมัยแรกๆ ที่เข้ามาเรียนเรียนหนักมาก เรียน ม.กรุงเทพอินเตอร์ พอเรียนอินเตอร์ปุ๊บหยุดไม่ได้เลย แล้วอาจารย์ค่อนข้างจะเข้มงวดมากเลย นั่นแหละติดเรียน พอเรียนปุ๊บถ่ายละคร เป็นอย่างนี้ทุกวัน คุณแม่ก็จะคอยรับไปสอบ มากองถ่ายตั้งแต่เช้าตี5 แล้วไปสอบ พอสอบเสร็จก็กลับมาถ่ายละคร ไม่มีอีเวนต์เลย คือถ้ามีอยากได้เหมือนกันนะ แต่ไม่มีจริงๆ อาจจะมีคนพูดๆ กัน แต่เราก็กล้ายืนยันว่า ถ้าเราไปจริงมันต้องมีรูปถ่ายอยู่แล้ว

คลิปสัมภาษณ์ แม็กกี้ อาภา
https://youtu.be/TOe2XDOt91c