หลังจากที่ศาลอาญาได้อนุญาตปล่อยตัวชั่วคราวให้ พิ้งกี้ สาวิกา ไชยเดช และได้ปลดกำไล EM เป็นการชั่วคราว ล่าสุดนางเอกสาวได้เดินทางมาในงานบวงสรวงภาพยนตร์เรื่อง กุมาร ณ ศิวาลัยสถาน สวนลุมไนท์บาร์ซา ซึ่งเป็นการพบสื่อเป็นครั้งแรกหลังจากที่ออกจากเรือนจำมา 2 เดือน โดยพิ้งกี้พร้อมทนายความได้ให้สัมภาษณ์ถึงประเด็นต่างๆว่า
รู้สึกยังไงบ้างได้มาเจอบรรยากาศแบบนี้?
ไม่ได้ตื่นเต้นมากค่ะ ก็เรียกได้ว่าปรับตัวมาได้สักระยะนึงแล้วค่ะ ชินอยู่ค่ะ(ยิ้ม) บรรยากาศยังเหมือนเดิม หน้าพี่ๆก็เหมือนเดิมค่ะ(ยิ้ม) ทุกคนยังน่ารักค่ะ
ไฟในการทำงานของเราเป็นยังไงบ้าง?
พิ้งกี้ : ถามคนรอบข้างได้มั้ย
ผู้จัดการ : จริงๆน้องเป็นคนมีไฟมากค่ะ คือพอก้าวเท้าเข้าบ้านก็อยากทำงานแล้ว เป็นคนที่อยากทำงานตลอดเวลาค่ะ
สภาพจิตใจเราตอนนี้เต็มร้อยมั้ย?
ตอนนี้หรอคะ เรียกว่าไปปฎิบัติธรรมค่ะ เหมือนเราได้เข้าไปเรียนรู้ชีวิต แล้วก็ได้เข้าไปพบเจออะไรบางอย่างที่เป็นประสบการสุดโต่งค่ะ ถามว่าได้เจออะไรมาบ้าง ถ้ามีโอกาสจะเล่าให้ฟังค่ะ
เรามีการวางแผนเรื่องการทำงานและการใช้ชีวิตยังไงบ้าง?
วันนี้คือเราก็ไม่ได้ออกสื่อนานมากนะคะ ตั้งแต่ถ่ายละครก็ยังไม่มีการมานัดเจอสื่อ ก็ได้มานั่งพูดคุยกันตั้งแต่เกิดเรื่องค่ะคือนานมากแล้ว วันนี้ก็ขอพูดทีเดียวเลยแล้วกัน
ยังมีความกังวลใจอะไรบ้างในการทำงานมั้ย?
ไม่ค่ะ ไม่ได้กดดัน เราก็คนทำงานแหละ แล้วก็ตราบใดที่เราศรัทธาแล้วก็เชื่อมั่นในสิ่งที่เราเป็น กี้เชื่อว่ามันเป็นสิ่งที่เปลี่ยนแปลงไม่ได้อยู่แล้ว ก็ต้องบอกว่าเราเป็นคนทำงานตลอด เราไม่ใช่คนที่ไปเบียดเบียนใครอ่ะ เพราะฉะนั้นโชคชะตาก็พัดพาสิ่งที่ไม่คาดฝันเข้ามาในชีวิตเรา แต่มันอยู่ที่มุมมองของเราในการตั้งรับแล้วก็มองมันยังไงให้เป็นค่ะ ซึ่งวันนี้ก็ถือว่าชีวิตเราก็เหมือนละครเรื่องนึง
เราตั้งรับกับสิ่งต่างๆยังไง?
เหมือนทุกคนแหละที่เจอปัญหา และก็ไม่คิดว่าชะตามันจะตกแต่งสิ่งที่ไม่คาดฝันให้เกิดขึ้นกับเราค่ะ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นพี่ปิ๊กก็เป็นทนายให้เรา ตามกฎหมายแล้วพี่ปิ๊กจะพูดได้มากที่สุดค่ะ
ช่วงเดือนกว่าๆที่ผ่านมาเราทำอะไรบ้าง?
ผู้จัดการ : เข้าป่า แต่ไม่ได้ไปไกลค่ะ จริงๆเค้าฝึกสมาธิแหละ เราเจอเค้าบ้าง ตั้งแต่เค้ากลับบ้านมาก็แทบไม่ได้คุยกับใครเลย คนที่เค้าคุยด้วยทุกวันด้วยก็คือทนายค่ะ กับเราเค้าแทบไม่คุยเลย ไปก็ถามเค้าว่าทำอะไรอยู่ เค้าก็บอกนั่งสมาธิ สวดมนต์ และก็ละหมาดของเค้าตามหลักศาสนา
พิ้งกี้ : อย่างที่ทุกคนทราบดีอยู่แล้ว่าเวลาเราเจอปัญหาหนักๆ ตราบใดที่เราศรัทธาตัวเองก่อน รักตัวเองให้มากที่สุด กี้ว่าความจริงมันไม่มีวันเปลี่ยนแปลงอยู่แล้ว เราก็สู้ตามกระบวนการกฎหมายนะคะ กฎหมายว่ายังไงเราก็สู้ตามนั้น ก็ฝากชีวิตไว้ที่พี่ปิ๊ก(ทนายความ) ซึ่งเค้าก็คอยดูแลและให้ความช่วยเหลือได้ดีมากๆค่ะ
มีความกังวลใจในขั้นต่อไปมั้ย?
ก็คือพาร์ทการถูกกล่าวหาเนอะ เราก็ถูกกล่าวหา เราก็สู้ตามกระบวนการยุติธรรม เมื่อเราถูกกล่าวหาเราก็ต้องสู้ และเราก็รอความจริงกับสิ่งที่เป็นความยุติธรรม เราเชื่อว่ามันจะรอเราอยู่ปลายอุโมงค์ค่ะ เราคิดว่ามันรออยู่ตรงนั้น เพราะฉะนั้นทุกคนไม่ต้องแพนิค ไม่ต้องตกใจ วันนึงเดี๋ยวมันจะพิสูจน์เองค่ะ
ความสบายใจของเราก็ยังเต็มร้อย?
มั่นใจค่ะ เชื่อในความเป็นตัวของตัวเอง และศรัทธาในตัวเอง
ถามทางทนาย น้องบอกฝากชีวิตไว้เลย?
พี่ปิ๊ก : ก็เป็นเรื่องของคดีอาญาและเสรีภาพครับ ที่บอกว่าฝากชีวิตก็คงเป็นเรื่องของเสรีภาพแหละครับ(ยิ้ม) ซึ่งก็เป็นกระบวนการทางการศาล ศาลก็มีการนัดสืบพยานไว้แล้วครับ ที่เหลือก็รอขั้นตอนกระบวนการพิสูจน์ทางการศาลครับ คดีจะเริ่มพิจารณาก็ปลายเดือนสิงหาคม 2566 แล้วก็จะจบศาลชั้นต้นเดือนกุมภาพันธ์ปี 2567 และหลังจากนั้นอีก 2-3 เดือนก็จะมีคำพิพากษาออกมา ส่วนจะมีอุทธรณ์หรือฎีกาหรือเปล่าก็ต้องดูกันอีกทีแหละครับ
เท่ากับพิ้งกี้ยังทำงานได้ปกติ?
พี่ปิ๊ก : ได้ปกติครับ
ตอนนี้คุณแม่พิ้งกี้เป็นยังไงบ้าง?
พี่ปิ๊ก : ในส่วนของคุณแม่เองเราก็รวมพยานหลักฐาน ข้อมูล เพื่อที่จะเสนอต่อศาลเพื่อขอให้ปล่อยตัวชั่วคราวครับ ถามว่ามีความเครียดมั้ย ก็ไม่ได้เครียดอะไรหรอกครับ คือเหมือนคนทั่วไปแหละถ้าต้องไปอยู่ในสภาพอย่างนั้นเพราะมันไม่ใช่สภาวะปกติ ก็ต้องมีบ้าง แต่ในเรื่องของความเครียดก็คงไม่เท่าไหร่ครับ
พิ้งกี้ให้กำลังใจคุณแม่อย่างไรบ้าง?
ส่งพลังให้แม่ไปค่ะ ด้วยตัวเราก็ต้องเดินหน้าทำงานต่อ คุณแม่ก็เซนซิทีฟ โมเมนต์ของคนแก่เนอะ เราก็เป็นนักสู้มากกว่า ก็ต้องสู้ต่อไปนะคะ
อยากบอกอะไรสำหรับทุกคนที่ส่งกำลังใจให้เราเยอะมากๆ?
ขอบคุณมากค่ะ จริงๆเลยนะคือตั้งแต่มาอยู่ตรงนี้คือกี้ไม่ค่อยได้อ่าน มันไม่สามารถตามโซเชียลได้เลย เหมือนเค้าไปถึงไหนกันแล้ว ก็อาจจะดีเลย์นิดนึงค่ะ พูดช้ากว่าเดิม ก็ต้องบอกตรงนี้ค่ะ
สิ่งที่เราเผชิญมันหนักขนาดไหน?
กี้ว่ามีคนที่ประสบความรู้สึกคล้ายๆเรา ที่เค้าไม่ได้ออกมาเล่าให้ฟังน่าจะเยอะนะคะ น่าจะมีอีกหลายร้อยชีวิตที่มีชีวิตแบบนี้ เราก็เอาออกมาพูดมาเล่าไม่ได้ ก็อยากให้มองว่าเราก็คือนักสู้คนนึงแหละ และอยากให้ดูว่าละครตอนจบจะเป็นยังไง
ให้กำลังใจตัวเองยังไง?
ก็ช้าๆ ค่อยๆเป็นค่อยๆไปค่ะ ชีวิตก็เป็นอย่างนี้แหละ อยู่ที่มุมมองของเราที่จะช่วยเราให้เราตั้งรับกับเรื่องต่างๆค่ะ
เรารับมือกับคำวิจารณ์ยังไงบ้าง?
ห้ามไม่ได้หรอกค่ะ มันเป็นธรรมชาติ ธรรมดา มันเป็นสิ่งที่เค้าระบายออกมา เราก็เคารพในมุมมองของแต่ละคน นี่แหละค่ะเป็นธรรมชาติ
งานกลับมาเยอะมั้ย?
ผู้จัดการ : จริงๆก็มีเยอะค่ะ แต่ก็ต้องปรึกษาทนายก่อนว่างานไหนเรารับได้มากน้อยขนาดไหน น้องก็ยังอยู่ในความดูแลอยู่ค่ะ ตอนนี้ก็มีประมาณ 15 งานแล้วค่ะ
พิ้งกี้ : ตอนนี้มีภาพยนตร์เรื่องนี้ค่ะ จริงๆเราอยากมาช่วยเบื้องหลังเค้า เรื่องกุมารเราก็อาจจะไปอยู่เบื้องหลังและเบื้องหน้าด้วยค่ะ
ก่อนหน้านี้ธุรกิจเราก็กำลังไปได้สวย?
ไลฟ์สดหรอคะ ก็ค่อยๆเป็นค่อยๆไปค่ะ ลูกค้าและก็พรีเซ็นเตอร์ที่เค้ารัก ยังเอ็นดูก็ต้องขอบคุณมากๆนะคะ
ถามทางนาย พอคดียังไม่สิ้นสุด มีผลต่อการรับงานของพิ้งกี้ยังไงบ้าง?
พี่ปิ๊ก : ตอนนี้ก็ยังไม่มีข้อจำกัดในการรับงานอะไร อย่างที่คุณพิ้งกี้บอกก็คือเราคุยกันเป็นระยะ เพื่อความมั่นใจความสบายใจแกก็ปรึกษามา แต่ตอนนี้ก็ไม่ได้เป็นอุปสรรคอะไร เพราะศาลยังไม่ได้มีคำพิพากษาหรือตัดสิน ถ้าตามหลักกฎหมายสากลก็ยังถือเป็นผู้บริสุทธิ์อยู่แล้ว ส่วนเรื่องการไปพิสูจน์ความบริสุทธิ์ก็ไปเป็นเรื่องกระบวนการในศาล เรื่องพยานหลักฐานกันต่อไป
ถามถึงผู้เสียหาย?
พี่ปิ๊ก : จริงๆก็คงมีผู้เสียหาย คุณพิ้งกี้ก็ตกเป็นผู้ต้องหา เป็นจำเลยที่ถูกฟ้อง แต่ก็อยากให้ดูข้อเท็จจริง ถ้าเราจะพูดไปก่อนก็คงไม่เหมาะ และอาจจะไปสะเทือนในเรื่องการพิจารณาคดีของศาล ก็อยากให้มีวิจารณญาณในการรับฟัง และพิจารณาดูนิดนึงว่ามีความเกี่ยวข้องแค่ไหนอย่างไร
ถามถึงประเด็นเรื่องบ้านที่มีข่าวออกมา?
พิ้งกี้ : ค่ะ ขายไปนานมากแล้วค่ะ ขอเคลียร์เลยค่ะ คุณแม่เล่นการพนัน คุณแม่ก็ไม่ได้เล่น ไม่ได้มีการเล่นการพนันใดๆ บ้านก็ขายไปนานมากแล้ว และบ้านนั้นก็เป็นบ้านของคุณพ่อคุณแม่ที่เราซื้อให้คุณพ่อคุณแม่ค่ะ มันหลายปีแล้วอ่ะ เราไม่ได้จำเวลาคืออยุ่กับปัจจุบัน
พี่ปิ๊ก : ล่าสุดมีข่าวเรื่องการถอดกำไล EM อยากจะบอกว่าข้อมูลอาจจะคลาดเคลื่อน เราขอความกรุณาศาลเพราะเราติดเรื่องที่จะต้องมาถ่ายทำละคร เพราะฉะนั้นเราขอถอดแค่ชั่วคราว แต่ข้อมูลบางสื่ออาจได้ไปแบบไม่ครบถ้วน เดี๋ยวพอทำงานเสร็จแล้วก็กลับไปใส่ครับ
พิ้งกี้ : ก็เดี๋ยวกลับไปใส่ใหม่ค่ะ ไม่ต้องกังวลน๊า
ระยะเวลาชั่วคราวประมาณเท่าไหร่?
พี่ปิ๊ก : จริงๆคือขอศาลไว้ว่าจนกว่าจะเสร็จสิ้นภารกิจครับ ด้วยบทด้วยภาพที่ปรากฎคือไม่สามารถมีภาพขอกำไลได้ครับ
ผู้จัดการ : จนกว่าจะถ่ายทำภาพยนตร์เรื่องกุมารเสร็จค่ะ
ใช้เวลาถ่ายทำนานแค่ไหน?
ผู้จัดการ : น่าจะประมาณ 6 เดือนค่ะ
คนอื่นก็มีสิทธิ์แบบพิ้งกี้ใช่มั้ย?
พี่ปิ๊ก : อยู่ที่เหตุผลความจำเป็นของแต่ละกรณี สุดท้ายก็อยู่ที่ดุลยพินิจของศาลครับ