รองอธิบดีกรมควบคุมโรคชี้แม้ WHO ประกาศยุติภาวะฉุกเฉินด้านสาธารณสุขโรคโควิด 19 แต่ยังเป็นโรคติดต่อต้องเฝ้าระวัง แนะฉีดวัคซีนปีละ 1 ครั้ง โดยเฉพาะกลุ่มเสี่ยง สวมหน้ากากเมื่ออยู่ในสถานที่แออัด มีคนจำนวนมาก
เมื่อวันที่ 6 พ.ค. 66 นพ.โสภณ เอี่ยมศิริถาวร รองอธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวถึงกรณีองค์การอนามัยโลก (WHO) ประกาศยุติภาวะฉุกเฉินด้านสาธารณสุขของโรคโควิด 19 ว่า นัยขององค์การอนามัยโลก คือ สิ้นสุดการจัดการภาวะฉุกเฉินสาธารณสุขระดับโลกของโรคโควิด19 แต่ประเทศต่างๆ ยังต้องจัดการกับโควิดต่อในแบบโรคประจำถิ่น รวมทั้งประเทศไทยก็มีการดำเนินการตามแนวทางกำหนดเช่นกัน ซึ่งข้อเท็จจริงโรคโควิดไม่ได้หายไปไหน คล้ายๆ ไข้หวัดใหญ่ 2009 ที่เคยเป็นภาวะฉุกเฉินด้านสาธารณสุขระดับโลก เมื่อสถานการณ์คลี่คลายก็ปรับลดระดับ ดังนั้น เมื่อยุติภาวะฉุกเฉินระดับนานาชาติ ก็จะเป็นการดำเนินการของแต่ละประเทศ ที่ผ่านมาประเทศไทยมีการปรับมาตรการให้สอดคล้องกับสถานการณ์โควิดมาเป็นระยะ อย่างล่าสุดตั้งแต่เดือน ต.ค.65 ปรับจากโรคติดต่ออันตรายเป็นโรคติดต่อที่ต้องเฝ้าระวังซึ่งกำหนดให้โรงพยาบาลรายงานผู้ติดเชื้อทุกสัปดาห์ แนะนำฉีดวัคซีนกระตุ้นปีละ 1 ครั้ง มีไกด์ไลน์แนวทางการรักษาผู้ป่วยที่กรมการแพทย์และผู้เชี่ยวชาญแนะนำ แต่เมื่อองค์การอนามัยโลกประกาศออกมา เราก็จะพิจารณาการดำเนินการมาตรการอื่นๆ เช่น มาตรการเดินทางระหว่างประเทศ ที่ไทยปรับมาสู่ระดับใกล้เคียงปกติก่อนมีโควิด กรมควบคุมโรคจะออกเป็นคำแนะนำให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน
"เราก็ยังต้องแนะนำว่า โควิดเป็นโรคติดต่อต้องเฝ้าระวัง อาจจะมีการระบาดเพิ่มขึ้นบางช่วง มาตรการที่แนะนำยังควรปฏิบัติอยู่ ทั้งฉีดวัคซีนโควิดปีละ 1 ครั้ง โดยเฉพาะกลุ่มเสี่ยง สวมหน้ากากเมื่ออยู่ในสถานที่แออัด ที่มีคนจำนวนมาก ส่วนเรื่องที่องค์การอนามัยโลกดำเนินการในระดับโลกก็อาจมีการปรับ เช่น เมื่อเป็นภาวะฉุกเฉินก็จะระดมทรัพยากรต่างๆ เช่น วัคซีน ยา เวชภัณฑ์แต่ตอนนี้ก็ผ่อนเรื่องนั้นลงเพราะจำนวนผู้ป่วยทั่วโลกลดลงมาก ต้องมาจัดการปัญหาสาธารณสุขอื่นๆอย่างที่ผ่านมาเมื่อเกิดโควิดระบาดช่วง 3 ปีก่อน เด็กทั่วโลกพบว่าฉีดวัคซีนพื้นฐานลดลง เพราะมุ่งฉีดวัคซีนโควิด และบางช่วงโรงพยาบาลมีภาระดูแลผู้ป่วยโควิดมากก็ทำให้ไม่ได้ฉีดวัคซีนเด็ก จึงต้องมาดำเนินการฉีดวัคซีนพื้นฐานในเด็กที่ตกหล่นให้ครบโดยเร็ว รวมทั้งประเทศไทย" นพ.โสภณ กล่าว
ต่อข้อถามว่ากังวลหรือไม่ว่าคนจะประมาทมากขึ้น นพ.โสภณ กล่าวว่า ปัจจุบันประชาชนตระหนักและทราบเรื่องนี้มากขึ้น แต่ทางกรมควบคุมโรคจะมีการย้ำเตือนเป็นระยะ เพื่อให้คงมาตรการที่เหมาะสม เมื่อถามถึงข้อกังวลโควิดลูกผสมอย่าง XBB จะไม่ระบาดรุนแรงใช่หรือไม่ รองอธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า สายพันธุ์ XBB พบที่อินเดียตั้งแต่เดือนมกราคมที่ผ่านมา เป็นเวลาราว 4 เดือนแล้ว แต่ก็ยังไม่ได้ระบาดหนัก หรือพบผู้มีอาการป่วยหนักหรือเสียชีวิตมากมาย ดังนั้น เชื้อนี้ยังไม่ได้ทำให้อัตราป่วยตายเพิ่มขึ้นทั่วโลก เมื่อเทียบกับโอมิครอน ส่วนไทยช่วงสงกรานต์กิจกรรมเยอะ คนเดินทางมากใกล้ชิดกัน ทำให้ผู้ป่วยเพิ่มขึ้นมาต่อเนื่อง 3 สัปดาห์แล้ว แต่ระบบสาธารณสุขไทยยังรับได้ ซึ่งจะต้องติดตามต่ออีกเมื่อจะเปิดเทอมกลางเดือนพฤษภาคมนี้ แต่ไม่ต้องกังวลว่า จะระบาดรุนแรงเหมือนเมื่อก่อน เพราะคนในประเทศมีภูมิคุ้มกันจากฉีดวัคซีนหรือไม่ก็ติดเชื้อแล้วมากกว่า 90% แต่ขอให้กลุ่มเสี่ยงมารับวัคซีนประจำปีกัน โดยเฉพาะผู้สูงอายุที่ไม่เคยได้วัคซีนยังเป็นกลุ่มที่สำคัญที่สุดลูกหลานต้องพามารับวัคซีนโดยเร็ว