เมียถูกไล่ให้ไปทุบหน้าใหม่ "ปีเตอร์ ธูนสตระ" โนสนโนแคร์รักแท้ย่อมไม่แพ้คำบูลลี่ !!
ควงกันออกมาเปิดใจที่แรกสำหรับ “ปีเตอร์ ธูนสตระ” กับแฟนสาว “จอย สุจิตรา” เผยเส้นทางรักกว่า 12 ปีที่ไม่เคยเปิดเผยที่ไหนมาก่อน และเปิดใจถึงอาการป่วยโรคธาลัสซีเมียของแฟนสาวที่เกือบเอาชีวิตไม่รอด รวมไปถึงถูกบูลลี่ว่าไม่เหมาะสม ถูกไล่ให้ไปทุบหน้า ผ่านทางรายการ คุยแซ่บshow
ไม่เคยเปิดตัวที่ไหนมาก่อน แล้วคบกันมา 12 ปีแล้ว ?
ปีเตอร์ : ใช่ครับผม
ทำไมถึงเพิ่งมาเล่นติ๊กต๊อกอัดคลิปที่เป็นกระแสอยู่ตอนนี้ ?
จอย : เล่นมานานแล้วค่ะ แต่ว่าเพิ่งมาเป็นกระแสตอนที่อยู่โรงพยาบาล คือว่าตอนนั้นไม่แต่งหน้าแล้วถ่ายรูป คนก็เลยเข้ามาถามว่าป่วยจริงมั้ย ตัดต่อภาพหรืออะไร แล้ววันนั้นเป็นวันเกิดของคุณปีเตอร์ เราอยู่โรงพยาบาลแล้วไปเที่ยวที่ไหนด้วยกันไม่ได้ เขาก็เลยมาอยู่โรงพยาบาลด้วยกัน เราก็เลยเอ่อ.. แต่งหน้าถ่ายรูปสักหน่อย
คือคนเขาคิดว่าเราถ่ายคนเดียวแล้วเอาพี่ปีเตอร์มาตัดต่ออยู่ข้างๆ ?
จอย : ใช่ค่ะ เขาก็ว่าเราตัดต่ออะไรประมาณนี้อะค่ะ
จุดเริ่มต้นของความรักรู้จักกันได้ยังไง ?
ปีเตอร์ : ตอนแรกคือเขาทำงานที่ห้าง แล้วบังเอิญไปเจอเขาที่ทำงานอยู่ ก็เอ้ยน่ารักก็เลยเข้าไปคุยกัน แล้วเป็นยังไงต่อเล่าให้ฟังหน่อยครับ
จอย : วิ่งหนีค่ะ (หัวเราะ) คือวันนั้นเขามาทานข้าวแต่ไม่ได้ทานร้านเรานะ ไปทานร้านตรงข้าม แล้วเขาเดินมาหาเราด้วยความที่เราพูดภาษาไม่เป็น พูดได้แค่ไทยอย่างเดียว ก็เลยหนีเดินเข้าร้าน เขาก็พยายามเรียก เราก็ส่งเจ้าของร้านออกไปคุย บอกว่าฝรั่งคนนี้เขาจะเอาอะไรไม่รู้ ให้ไปรับรองหน่อย พอเฮียเขาเดินออกมาเขาก็บอกว่าเขาอยากคุยกับจอยอ่ะ เขาจะคุยด้วย
ตอนนั้นพี่ปีเตอร์พูดภาษาอังกฤษหรือภาษาไทย ?
จอย : ภาษาไทยได้ แต่ยังฟังไม่ค่อยรู้เรื่อง ยังไม่ชัดเท่าตอนนี้
ตอนที่เดินไปในห้างแล้วเห็นผู้หญิงคนนี้ปรากฏตัวต่อหน้าเราคือแบบสเปกเลยมั้ย ?
ปีเตอร์ : ก็คิดว่าคนนี้น่ารัก ก็อยากคุย เพราะเราไม่ได้ไปที่นี่ประจำ ไปงานพอดีเลยอยากถือโอกาสถ้าไม่ได้คุยวันนี้ก็คงไม่ได้ข้ามกรุงเทพฯ มาอีก เห็นแล้วก็เลยอยากลองคุยกันดู
ถ้าวันนี้ไม่ได้คุย คิดว่าจะเสียโอกาสไหม ?
ปีเตอร์ : ก็คิดว่าอย่างนั้นแหละ เพราะว่าโอกาสที่จะเจอและน่าสนใจก็ไม่บ่อย ก็เลยถือโอกาสคุยดู
แสดงว่าเป็นคนชอบผู้หญิงตัวเล็ก น่ารักใช่ไหม ?
ปีเตอร์ : ใช่ครับ น่ารัก นิสัยเรียบร้อย ไม่ก้าวร้าว
สรุปวันนั้นเขาได้สั่งข้าวไหม ?
จอย : จริงๆ เขาจะเอาเบอร์หนูนี่แหละ เราก็งงว่าเขาเป็นใคร เราก็เขินเลยแบบไม่ให้ดีกว่า ยังไม่อยากให้ แต่เพื่อนบอกให้ไปเถอะ เขาคงอยากได้ไปเฉยๆ คงไม่โทรคุยหรอก ก็เลยให้ไปเป็นเบอร์ เพราะตอนนั้นยังไม่มีไลน์ เฟซบุ๊กก็ยังไม่มี ต้องเข้าเบราว์เซอร์ก็เล่นยาก ก็เลยให้เป็นเบอร์โทร.ไป เขาก็ถามว่าเลิกงานกี่โมง พอเราเลิกงานเขาก็โทรมาเลย
ปีเตอร์ : ต้องหาโอกาสไม่ใช่ว่าปล่อยโอกาสผ่านไป ก็ต้องถือโอกาส
แล้ววันแรกที่โทรหาคุยกันนานไหม ?
จอย : ก็ประมาณ ชั่วโมง สองชั่วโมง
ปีเตอร์ : ถึงเปล่า
จอย : เกือบๆ เพราะว่าวันนั้นฝนตก หลบฝนอยู่ในห้าง ไม่มีไรทำก็เลยคุย
ตอนนั้นเขาพูดภาษาไทยไม่ชัด เราคุยกันรู้เรื่องไหม ?
จอย : ตอนแรกๆ ก็พอรู้แบบงงๆ บ้าง
ตอนแรกที่คุยคือยังไง แนะนำตัวซึ่งกันและกันหรือเปล่า ?
จอย : ใช่ ค่ะคือเขาจะเป็นคนถามมากกว่า ถามว่าเราทำงานที่นี้นานหรือยัง อยู่ที่ไหน อยู่กับพ่อแม่หรือเปล่า ก็เลยตอบรวดเดียวไปเลย ตอนนี้อยู่กับลูกนะ มีโรคประจำตัวนะ คือบอกหมดทุกอย่างที่เขาอยากรู้ ก็คิดว่าให้รู้ไปเลยวันแรก ถ้าไม่คุยต่อก็คือจบไปเลย ก็แอบกลัวแต่สักวันเขาก็ต้องรู้แหละ ถ้าไปรู้ตอนหลังละมันจะเสียความรู้สึก
ตอนนั้นรู้ไหมว่าเขาเป็นดารา ?
จอย : ไม่รู้ คิดว่าเป็นชาวต่างชาติทั่วไป
ตอนแรกเราไม่รู้ว่าเขาเป็นดาราเขามาจีบเราเรารู้สึกไหมว่าเขาก็หล่อนะ ?
จอย : หล่อนะ แต่ว่าหนูไม่ค่อยชอบฝรั่ง ไม่ชอบคนต่างชาติ เพราะว่าตัวใหญ่ ฟังไม่รู้เรื่องด้วย
ปีเตอร์ : ถือว่าอดทนมา 12 ปี ถือว่าไม่ค่อยชอบแต่ก็ทนได้ใช่ไหม
จอย : หมายถึงตอนแรกๆ
รู้สึกยังไงพอคุยกันไปเรื่อยๆ ?
จอย : ก็นิสัยดีนะ แต่ว่าดูก่อนยังไม่ปักใจ
เห็นว่าคุยกันไประยะหนึ่งแล้วคุณจอยตั้งย้ายไปอยู่ใต้ ...
จอย : ก็คือว่าเพิ่งเจอกันไม่ถึงอาทิตย์หนูก็ต้องไปช่วยงานพ่อ ช่วงนั้นก็คุยกันตลอด จริงๆ ก็ไม่ได้คุยเท่าไหร่เพราะเราก็ทำงาน
ปีเตอร์รู้สึกยังไงกำลังคุยกำลังจีบก็ต้องไปใต้แล้ว ?
ปีเตอร์ : ตอนแรกคิดว่าข้ามกรุงเทพฯ มันไกลพอสมควร แล้วพอโทรคุยเขาบอกว่าต้องไปภาคใต้ เราก็เอ้า ไปภาคใต้ไปทำอะไร เขาก็บอกไปช่วยงานพ่อก็ไปสักระยะหนึ่ง ไม่แน่ใจว่าจะไปนานเท่าไหร่อาจจะเป็นอาทิตย์ อาจจะเป็นเดือน คุยไปคุยมาสรุปไป 3 เดือน ก็คุยมาเรื่อยๆ ตลอดนะช่วงนั้น
ตอนแรกเราประทับใจอะไรในตัวเขา ?
ปีเตอร์ : เป็นคนสู้ เป็นคนเก่ง ยิ้มตลอด ก็เลยประทับใจ
พอหลังจากไปอยู่ใต้ 3 เดือน เริ่มเดทกันตอนไหน ?
จอย : ก็หลังจากกลับมา
แสดงว่าตั้งแต่คุยโทรศัพท์ยังไม่ได้เจอกัน ?
จอย :ใช่ค่ะ จนเรากลับมาเขาก็นัดกินข้าว ดูหนัง ตอนแรกก็ว่าจะกินข้าว ดูหนัง แล้วกลับแต่ก็ต่อยาวเลยค่ะ
ตอนนั้นรู้สึกยังไงตื่นเต้นไหม ?
จอย : ก็รู้สึกแปลกๆ ว่ามีแต่คนมองเขาแต่เราไม่รู้ เราก็แปลกๆ ว่าทำไม ฝรั่งคนนี้มีแต่คนมองเยอะจัง ทำไมเขามองเราแปลกๆ ก็เลยถามเขาว่าคุณเคยออกทีวีไหม
นอกจากมีคนมองแล้ว เวลาไปไหนมีคนมาขอถ่ายรูปเขามั้ย ?
จอย : ตอนนั้นยัง ตอนที่ไปห้างที่หนึ่งก็ยังไม่มีใครมาขอถ่าย ได้แต่บอกว่าดารา เพราะเรามากินข้าวกันอยู่ในร้านอาหารก็ไม่มีใครเข้ามาถ่ายได้ แต่ก็ชี้และมองกัน เราก็รู้สึกแล้ว เราก็เลยถามเขาว่าเคยออกทีวีมั้ย เขาก็ตอบว่าใช่ แต่ก็ยังไม่บอกเราอีกนะว่าเป็นนักแสดงหรืออะไร เราก็กลับบ้านไปถามน้อง ถามน้องสาวว่าตัวเองลองเสิร์ชดูให้หน่อยรู้จักมาคนนี้แล้วก็บอกชื่อเขาไป เขาก็บอกว่าเคยแสดงหนังด้วยเนี่ย
ทำไมถึงไม่บอกไปเลยว่าเราเป็นนักแสดง ?
ปีเตอร์ : ก็มันเป็นเรื่องแปลกๆ เนาะ ก็ไม่รู้ว่าจะไปบอกทำไมว่า เออเราเป็นนักแสดงนะ รู้จักเรามั้ย เหมือนอวดตัวเองคิดว่ามันไม่ใช่เรื่องที่สำคัญที่สุดอยู่แล้ว
พอคุณแม่ของจอยรู้ก็ตกใจเลย ?
จอย : เป็นแม่เลี้ยงเขาก็ตกใจ ว่ามีฝรั่งที่เป็นนักแสดงด้วยมาชอบ เขาก็บอกว่าเขาแค่คุยเล่นหรือเปล่าเพราะเขาเป็นนักแสดงด้วย เขาจะชอบใครก็ชอบได้เพราะรอบตัวเขามีแต่คนสวยๆ เราก็ทำใจว่าเขาอาจจะมาคุยเล่นๆ
อะไรที่ทำให้เรามั่นใจว่าเขาไม่ได้เข้ามาคุยเล่นแล้ว ?
จอย : อะไรดี (หัวเราะ) คือทุกอย่างที่เขาดูแลเรา
ปีเตอร์ : ดูแลนานพอสมควร พิสูจน์กันและกัน เขามาช่วยดูแลตอนที่เราลำบาก
คุยกันอยู่นานมั้ยถึงตัดสินใจเป็นแฟนกัน วางอนาคตด้วยกัน ?
ปีเตอร์ : ไม่ได้พูดเลยเนาะ เราสนิทและดูแลกันมาเรื่อยๆ
จอย : คนเขาเห็นเขาก็รู้กันเอง ว่าคบกัน
มีเอ่ยปากบอกเป็นแฟนกันนะบ้างมั้ย ?
ปีเตอร์ : ก็ไม่ได้พูดตรงเลยเนาะ เราเข้าใจกันเองมากกว่า
จอย : ถามเขาว่าไม่อายหรอมาคบกับฉัน
ปีเตอร์ : เขาเป็นคนถามตรงแบบนี้แหละ
อายุห่างกัน 11 ปีมีผลบ้างมั้ย ?
ปีเตอร์ : ก็ไม่ค่อยเท่าไหร่นะ ไม่มี ถ้าเป็นวัยรุ่นอาจจะมากกว่า ถ้าเลย 30 ไปแล้วรู้สึกว่าไม่ต่างอะไรมากหรอก ตอนนี้ก็อายุ 50 แล้วออกกำลังกายตลอด มีผลช่วยได้แน่นอน
โรคประจำตัวของพี่จอย ?
จอย : เป็นโรคธาลัสซีเมียตั้งแต่กำเนิด เริ่มให้เลือดมาตั้งแต่ 4-5 ขวบ ทำให้ร่างกายรับธาตุเหล็กเกิน ตั้งแต่เจอเขา เขาก็หาทางรักษา
ปีเตอร์ : ตอนแรกที่คบกัน เราก็ไม่ค่อยเก็ต แต่พอคบกันจริงๆ แล้วเขาต้องเข้าโรงพยาบาลบ่อย เหมือนเพิ่งเข้าไปไม่นานเข้าอีกแล้ว เราเลยให้เขาเขียนมาแล้วก็ไปหาข้อมูล
จอย : หมอก็จะนัดติดตามอาการทุกเดือน ไปก็จะให้เลือด ถ้าไม่มีเลือดจากโรงพยาบาลก็จะเปิดรับบริจาค แต่ช่วงโควิดเลือดก็ขาดแคลนมากต้องนอนอยู่โรงพยาบาลนาน 2 เดือนตัวก็ซีดลงเรื่อยๆ
ปีเตอร์ : สำหรับคนที่ไม่รู้โรคธาลัสซีเมียคือไม่สามารถผลิตเซลล์เม็ดเลือดแดงสมบูรณ์ ซึ่งเซลล์เม็ดเลือดแดงมีหน้าที่รับออกซิเจนที่เราหายใจเข้าไปในร่างกาย ถ้าร่างกายไม่สามารถผลิตเซลล์ได้ก็ต้องรับเลือดที่บริจาคมา ก็จะช่วยได้แค่ 1 เดือน ก็ต้องไปหาหมอเรื่อยๆ ทุกเดือน
ไปโรงพยาบาลทุกเดือน นอนทีละกี่วัน ?
จอย : ช่วงนี้ก็จะนอน 5 วัน เพราะจะให้เลือด 2 ถุง แล้วก็กลับบ้านได้ แต่หมอจะสั่งให้ยาขับธาตุเหล็กเพิ่มก็คือว่าต้องนอน 5 วัน ให้วันละ 1 โด๊ส ก็คือ 8 ชั่วโมงที่ให้ทางสายน้ำเกลือ พอหมดแล้วก็ต้องให้ต่ออีกวัน ถ้าเรารักษาและให้เลือดอยู่ตลอดก็จะเหมือนคนปกติไม่มีอาการอะไร แต่ถ้าตัวซีดลงคือขาดเลือดแล้วจะมีอาการเป็นไข้ขึ้นสูง ติดเชื้อ จะเหนื่อย
เวลาไปนอนโรงพยาบาลพี่ปีเตอร์ก็จะไปเฝ้า ?
ปีเตอร์ : ก็ไปเฝ้าบ้าง แต่ไม่ใช่ทุกครั้ง เพราะด้วยการงานด้วย
ทำไมถึงอยากดูแลอยู่ข้างๆ เขา ?
ปีเตอร์ : เพราะเห็นว่าเขาเป็นคนที่ดี สู้เก่ง เห็นคนสู้เก่งเหมือนให้กำลังใจเราด้วย ถ้าเราไม่เจออะไรหนักเท่านี้เราก็สู้ได้
โรคนี้จริงๆ ทำให้หายขาดได้ด้วยการปลูกถ่ายกระดูกสันหลัง ?
จอย : ใช่ค่ะ ช่วงนั้นคือที่เจอคุณปีเตอร์อายุเกินแล้ว เขาก็พาไปหาหมอหลายโรงพยาบาลว่าสามารถทำได้มั้ย หมอก็ไม่แนะนำให้ทำเพราะอายุเกิน อายุต้องประมาน 20
ปีเตอร์ : และถ้าร่างกายข้างในเสียธาตุเหล็กไปเยอะเขาก็ไม่อยากให้เสี่ยง เพราะก่อนจะทำต้องทำลายไขกระดูดของเราก่อนแล้วเอาอันสมบูรณ์เข้ามา ถ้าร่างกายไม่สมบูรณ์มันก็จะอันตราย
จอย : เราก็ตัดม้ามไปตั้งแต่อายุ 10 ขวบ ภูมิต้านทานไม่มีก็จะป่วยง่าย
ค่าใช้จ่ายในแต่ละเดือน ?
จอย : เยอะค่ะ
ปีเตอร์ : แต่ประกันสังคมช่วยส่วนหนึ่ง แต่อีกส่วนเราก็ต้องรับผิดชอบเอง
ไม่ให้ทางเขาไปทำงานด้วย ?
ปีเตอร์ : ไม่เชิงว่าห้าม หรือบังคับเด็ดขาด เราคุยกันว่าธรรมชาติถ้าจะหยุดทุกเดือน เดือนละ 3-5 วัน ใครจะให้เราทำแล้วป่วยมายังต้องพักงานอีก ภาวะทำงานหนักก็กลัวป่วยอีก
จอย : มีภาวะกระดูกบางด้วย หักง่าย หมอบอกว่าต้องระวังเวลานั่งแรงๆ เคยมีซี่โครงหักอยู่ครั้งหนึ่งนานแล้ว ตกจากที่สูงมา นั่งอยู่หลังรถกระบะ
มีครั้งนึงไปหาหมอช้าเกือบไม่รอด ?
จอย : ก็มีที่ไปใต้อะค่ะ เรารักษาอยู่โรงพยาบาลที่กรุงเทพฯ แล้ววันนั้นกำหนดหมอนัดแล้วแต่ยังไม่ได้กลับมา แล้วมีอาการขึ้นมาพ่อก็ให้อยู่บ้าน เราก็หายใจไม่ออก แน่นหน้าอกไข้ขึ้นสูง พอไปหาหมอทางนั้นก็ไม่สามารถรักษาเราได้เขาก็ไม่รู้จะทำยังไง ให้ยาฆ่าเชื้อไข้ก็ไม่ลง ก็โทรมาขอประวัติตรงนี้ หลังจากนั้นก็ต้องมาตามหมอนัดตลอด
มีเรื่องลูกชายที่ต้องปรับตัวด้วย ?
ปีเตอร์ : ใช่ครับ ลูกชายกับแฟนเก่าคือเขาก็บอกเราตั้งแต่แรกเลยนะ เราก็ไม่ได้คาดหวังว่าจะต้องมีแฟนที่มีลูกแล้วนะแต่ก็ลองดูละกัน เจอกันแรกๆ เขาก็บอกพาลูกไปด้วยได้มั้ย เราก็บอกพามาลองดู 3 ขวบน่ารักมาก เป็นเด็กดี
ลูกชายเขายอมรับเรามั้ย ?
ปีเตอร์ : เขาน่ารัก เขาโอเค เขาเรียกเราว่าลุง ชอบยิ้มอารมณ์ดีเหมือนแม่
เราบอกลูกเราว่ายังไงตอนนั้นมีเขาเข้ามา ?
จอย : ก็บอกว่าเป็นเพื่อนของแม่ พอโตขึ้นเขาก็รู้เอง เพราะเขามารับไปกินข้าวทุกอาทิตย์ ก็เหมือนเด็กเขารู้เอง ตอนแรกมีคนถามเขาว่าเป็นพ่อหรอ เขาก็ปฏิเสธ ตอนเล็กๆ เหมือนไม่ได้อยู่กับพ่อแท้ๆ ด้วย ประมาณ 10 ขวบเขาก็เริ่มเข้าใจ ตอนนี้เขา 15 ปี และใกล้จะถึงวันเกิดเขาแล้ว เขาไม่ได้เรียกแด๊ดดี๊เขาเรียกลุงเหมือนเดิมเพราะติดปากมาตั้งแต่เด็ก
ทุกวันนี้เขาเข้าใจแล้ว มีมาปรึกษาอะไรกับเรามั้ย ?
จอย : ไม่มีค่ะ เขารู้แล้วว่าเขาเป็นคนดูแลคุณแม่ดูแลไปถึงลูกชายด้วย
ปีเตอร์ : เสียดายอย่างหนึ่งเขาไม่ได้พูดภาษาอังกฤษตั้งแต่เด็ก จับเรียนตอนนี้ก็ยาก ไม่งั้นจะได้สองภาษาไปเลย
ทำยังไงให้ลูกเขายอมรับในตัวเรา ?
ปีเตอร์ : ก็จริงๆ แล้วโชคดีที่เขาเป็นคนสนุกสนานอารมณ์ดีไม่มีอะไรต้องปฏิเสธอะไร ด้วยความเป็นผู้ชายด้วยก็จะชวนกันไปเล่นเกมในห้าง
คาดหวังในอนาคตมั้ยเขาจะเรียกเราเปลี่ยนสถานะมั้ย ?
ปีเตอร์ : ผมโอเคนะครับ อยากให้ทุกคนแฮปปี้ ถ้าเขาโอเคที่เรียกว่าลุงผมก็แฮปปี้ สิ่งที่สำคัญที่สุดคือความรู้สึกไม่ใช่คำพูด ก็เป็นลุงกับหลานที่สนิทกันพอสมควร เขาเลี้ยงลูกเก่งมาก
จอย : ตามนั้นเรียกยังไงก็ได้ เพราะเขาไม่ได้ซีเรียส สบายๆ
โดนบูลลี่ยังไงบ้าง?
จอย : เขาบอกว่าไม่เหมาะสม ไม่สวย มาทางคอมเมนต์ ตอนแรกบอกว่าเราจ้างคุณปีเตอร์มาพูดได้เท่าไหร่ตอนไลฟ์สด ก็คิดว่าเราจ้างเขามา ตอนแรกบอกตัดต่อภาพ วีดีโอ ไลฟ์สด บอกเขาเป็น AI บอกให้หนูไปทำหน้าใหม่ สวยนะแต่ไปทำจมูก ตัดกราม เหลากราม ทำให้หมดเลย ไม่เคยอยากตอบโต้เขา แต่ก็มีแฟนคลับน่ารักมากเป็นเอฟซีเขาก็ตอบกลับแทนทุกอย่าง เราก็อยู่เฉยๆ เขาชอบเราที่เป็นแบบนี้
ปีเตอร์ : ใช่อย่างที่บอกฝรั่งชอบแบบนี้ มันคือสเปก บางคนเป็นเกรียนคีย์บอร์ด
เคยปรึกษากันเรื่องนี้มั้ย ?
จอย : อย่างล่าสุดเขาบอกว่าทำไมเราไม่เรียนภาษาอังกฤษ ทำไมไม่ให้ปีเตอร์สอน เขาก็ว่าเราว่าโง่ พูดไม่ได้ เราก็บอกว่าไม่ต้องไปสนใจ
มีนั่งร้องไห้น้อยใจ ?
จอย : ไม่เคยเลยค่ะ
ให้กำลังใจกันยังไงบ้าง ?
ปีเตอร์ : พยายามสะกิดเขาบอกคุณรอดมาเยอะแล้ว ไม่ต้องสนใจคนอื่น เขามีคนที่รักดูแลอยู่แล้ว แต่ความรู้สึกเขาอาจจะแย่หน่อย
ฝากถึงคนที่มาบูลลี่ ?
จอย : ไม่รู้จะบอกอะไรเขาดี ถึงบอกไปเขาก็ทำอยู่ดี อยากให้คิดก่อนพูด ดูความจริงก่อน
ปีเตอร์ : เช่นกัน จริงๆ แล้วคิดว่าเป็นคำพูดที่เอ่ยออกไป แต่เราควรระมัดระวังมันเหมือนอาวุธ อย่าพูดอะไรที่ทำให้คนอื่นรู้สึกไม่ดี
คลิปสัมภาษณ์ ปีเตอร์ ธูนสตระ
https://youtu.be/M6tg8smPFr4