แน่ใจแล้วหรือว่ากราบไหว้เทพ ? "กายแก้ว" แท้จริงแล้วอาจคือตัว "การ์กอยล์" ปิศาจสาวกซาตาน !!
... ร่างกายทะมึนสีดำขลับ ปีกสยายคล้ายค้างคาวยักษ์ มีเขี้ยวสีเหลืองๆ งอกจากปาก ดวงตาแดงก่ำเบิกโพลงดุดันและเล็บยาวแหลมสีแดงชาด นั่นคือลักษณะของรูปปั้นใหญ่โตที่คนเรียกขานว่า "ครูกายแก้ว" หรือ "พ่อใหญ่กายแก้ว" และสิ่งๆ นี้เป็นที่มาของความอลหม่านเมื่อวันที่ 10 ส.ค. 66 ที่ผ่านมา หลังเกิดเหตุการณ์รถติดเป็นทิวแถวบนถนนรัชดาภิเษกขาเข้า เพราะมีการเคลื่อนย้ายรูปปั้นมโหฬารของสิ่งที่เรียกว่า "กายแก้ว" ไปตั้งที่เทวาลัยพระพิฆเนศห้วยขวาง แต่ระหว่างทางรูปปั้นขนาดใหญ่ไม่สามารถลอดผ่านสะพานลอยไปได้จึงทำให้เกิดการจราจราเป็นอัมพาตนั่นเอง ...
จากความเชื่อเลื่อมใสศรัทธาในตัว "ครูกายแก้ว" ของคนไทยบางกลุ่ม ณ ปัจจุบัน ทำให้มีพ่อค้าแม่ค้าหัวใส ผลิตเครื่องรางที่เป็นเสมือนสิ่งศักดิ์สิทธิ์ออกจำหน่ายเต็มท้องตลาด ด้วยความเชื่อที่ว่าใครที่มีไว้บูชาจะทำมาค้าขึ้น การงานเจริญรุ่งพุ่งเร็วราวกับจรวด แต่แล้วเมื่อถามความเป็นมาที่แท้จริงของ "ครูกายแก้ว" กลับไม่มีใครสามารถยืนยันว่ามีต้นกำเนิดมาจากที่ใด อีกทั้งยังนำเอาอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ต่างๆ นานามากลบเกลื่อนอาจเพื่อจูงใจให้พุ่งเป้าไปที่พลังลึกลับที่ไม่สามารถพิสูจน์หรือมองเห็นได้ ซึ่งเป็นสิ่งที่คนกลุ่มนี้เชื่อถือฝักใฝ่เป็นทุนเดิม
ซึ่งล่าสุดทีมข่าวสกู๊ปพิเศษนิวออนไลน์ได้สืบค้นถึงประวัติความเป็นมาของ "ครูกายแก้ว" หรือ "พ่อใหญ่" แล้ว ปรากฏว่าบางส่วนบอกว่าเป็นครูด้านไสยศาสตร์มาจากประเทศกัมพูชา โดยมีอาจารย์คนที่สร้างเทวาลัยห้วยขวางปั้นรูปครูกายแก้วโดยอิงจากกำแพงนครวัด มีปีกเหมือนดั่งนกการเวกสัตว์ศักดิ์สิทธิ์จากป่าหิมพานต์ ร่างกายผอมแกร็นเพราะบำเพ็ญตบะ เป็นบรมครูผู้เรืองเวทย์ ประทานความสำเร็จในเรื่องการงาน การเงิน โชคลาภ เมตตามหานิยม แถมความศรัทธายังข้ามน้ำข้ามทะเลไปไกลถึงต่างแดน ชาวฮ่องกงและไต้หวันบูชากันมาก พร้อมยกให้ครูกายแก้วเป็นเทพเจ้าแห่งโชคลาภ ความร่ำรวย และความสำเร็จ
แต่ก็มีคนอีกกลุ่มที่เชื่อว่า "กายแก้ว" น่าจะมาจาก "การ์กอยล์" ของฝั่งยุโรปซึ่งอาจจะเข้ามาในยุคอาณานิคม
ซึ่ง "การ์กอยล์" (Gargoyle) เป็นปิศาจอัปลักษณ์ หน้าตาน่าเกลียดน่ากลัว ในเทววิทยาของชาวคริสต์ถือเป็นปิศาจสาวกของลูซิเฟอร์หรือซาตาน ผู้นำทัพการ์กอยล์นับล้านบุกสวรรค์ของพระเจ้า แต่ก็พ่ายแพ้กลับมา แม้จะน่าเกลียดน่ากลัวแต่การ์กอยล์เป็นปิศาจระดับล่าง มิใช่ระดับเทพเจ้า (Demon)
‘Gargoyle’ มาจากคำ ‘Gargouille’ ในภาษาฝรั่งเศส ในภาษาลาตินเขียนเป็น ‘Gurgulio’ แปลว่า ‘กลืน’ ขณะในภาษาฝรั่งเศสแปลว่า ‘คอ’ ซึ่งถูกแปลงมาเป็น ‘Gullet’ ในภาษาอังกฤษแปลว่า ‘รางน้ำหรือท่อน้ำ’ การ์กอยล์ดั้งเดิมมีหน้าตาคล้ายมังกร มีปีกเหมือนค้างคาว มีคอยาว สามารถพ่นไฟออกจากปาก เชื่อว่าหน้าตาอันน่าเกลียดของมันจินตนาการขึ้นโดยชาวเซลต์ (Celt) เมื่อศตวรรษที่ 5 เนื่องจากเป็นชนชาติล่าหัวมนุษย์ พวกเขานำศีรษะเหล่านั้นมาบูชา ด้วยเชื่อว่าจะก่อให้เกิดพลังพิเศษเมื่อมองไปยังดวงตาบนศีรษะที่ล่ามาได้
บ่อยครั้งภาพปั้นการ์กอยล์ไม่อาจระบุเพศ เนื่องจากมนุษย์ยุคดังกล่าวนำเอาส่วนน่ากลัวของหญิงและชาย หรือของสัตว์มาผสมกันในภาพเดียวเพื่อให้เกิดความน่ากลัว ตามปกติจะปั้นเป็นภาพสัตว์ประหลาด ปากอ้าและมีลิ้นห้อยออกมา เป็นสัญลักษณ์แทนความตะกละของปิศาจ ตำนานของชาวฝรั่งเศสเล่าว่า ระหว่างปี ค.ศ. 631-641 ครั้งที่ ‘เซนต์ โรมานัส’ (St. Romanus) ได้รับการแต่งตั้งจากคริสตจักรให้เป็นอาร์คบิชอปแห่งเมืองโรน (Rouen) ชาวเมืองถูกปิศาจการ์กอยล์หน้าตาคล้ายมังกรออกมาอาละอาด เซนส์โรมานัสต่อรองกับชาวเมืองว่าจะปราบปิศาจตัวนี้ให้ แลกกับการขอให้ชาวเมืองซึ่งนับถือศาสนานอกรีตมาเข้ารีตเป็นชาวคริสต์
การ์กอยล์ถูกปราบลงอย่างราบคาบด้วยอิทธิฤทธิ์ของไม้กางเขน ปิศาจถูกจับตัวไปเผา ทว่าส่วนศีรษะและคอของมันไม่ยอมไหม้ไฟ เนื่องจากเป็นอสุรกายที่สามารถพ่นไฟได้ ส่วนศีรษะและลำคอจึงทนทานต่อความร้อน ชาวเมืองจึงนำส่วนนี้ของมันไปประดับไว้บนกำแพงโบสถ์ที่สร้างขึ้นใหม่ นับแต่นั้นการ์กอยล์ก็กลายเป็นปิศาจผู้พิทักษ์โบสถ์และชุมชนให้พ้นจากวิญญาณที่ชั่วร้ายอื่นๆ จากนั้นมา
ชาวยุโรปในยุคกลางเชื่อว่า อสุรกายการ์กอยล์จะคืนชีพในยามราตรี ทำหน้าที่พิทักษ์ผู้คนยามหลับใหล มันโบยบินไปทั่วหมู่บ้านและตัวเมือง เมื่อพระอาทิตย์โผล่เหนือขอบฟ้าจึงจะกลับมาพิทักษ์แหล่งที่อาศัยในยามกลางวัน เช่นตามโบสถ์หรืออาคารบ้านเรือน ความน่าเกลียดน่ากลัวของมันทำให้วิญญาณที่ชั่วร้ายหรือผู้พบเห็นตกใจ
ความเชื่อดังกล่าวทำให้ผู้คนนิยมปั้นปิศาจตนนี้ไว้ตามโบสถ์, กำแพงอาคาร, มุมหลังคา, และสิ่งก่อสร้างต่างๆ ความนิยมแพร่หลายมากที่สุดในยุคโกธิค (Gothic) ทั้งนี้จะพบเห็นได้จากสถาปัตยกรรมสิ่งก่อสร้างในยุคนั้นที่มักมีภาพปั้นการ์กอยล์ประดับอยู่ด้วยเสมอ
เกร็ดน่าสนใจคือชาวกรีกโบราณเชื่อว่าการ์กอยล์สามารถทำให้น้ำที่มีมลทินบริสุทธิ์ขึ้นได้ ผู้คนในยุคนั้นจึงปั้นการ์กอยล์คายน้ำไว้ตามชายคาอาคาร โดยให้น้ำฝนบนหลังคาอาคารคอนกรีตระบายผ่านปากของมัน การ์กอยล์ของชาวกรีกมักสลักด้วยหินอ่อน ดังพบได้ที่ ‘วิหารของเทพซุส’ (Temple of Zeus) ขณะในยุโรป, การ์กอยล์ที่งดงามที่สุดพบได้ที่โบสถ์ ‘น็อตเตรอะดาม’ (Notre Dame Temple) ในปารีส ส่วนในอังกฤษ, คำ ‘Gargoyle’ ถูกแปลงไปเป็น ‘Gullet’ ซึ่งแปลว่า ‘ท่อน้ำ’ ดังกล่าวแล้ว
ในภายหลังการ์กอยล์เป็นอสุรกายที่มีรูปแบบหลากหลาย เป็นปิศาจตัวเดียวในปกรณัมของชาวคริสต์ที่ต่อต้านปิศาจด้วยกัน เนื่องจากถูกแปลงให้มารับใช้มนุษย์
ซึ่งต้องบอกอีกว่านี่คือตำนานของ "ปิศาจการ์กอยล์" อีกบทหนึ่งที่หลายคนโยงเข้าไปเกี่ยวข้องกับที่มาของ "กายแก้ว" ท้ายที่สุดแล้วก็ต้องแล้วแต่วิจารณญาณของแต่ละคนว่าจะเชื่อไปในทางใด เพราะคือสิ่งที่ไร้ที่มา เป็นเพียงเรื่องเล่าปากต่อปากเท่านั้น หาใช่ความจริงแท้ไม่ ฝากไว้ให้คิด ... คนเราจะกราบไหว้บูชาอะไรก็ต้องมีความชั่งใจ และไตร่ตรองดูให้ดี ไม่ใช่ตามกระแสไปเสียหมด เพราะเผลอๆ อาจเข้าขั้นงมงายไหว้ผีไหว้ปิศาจอยู่ก็เป็นได้ ใครจะรู้
ขอขอบที่มา คอลัมน์ ชั้นหนังสือของ Zombie C ตอน Gargoyle