"จิรายุส ทรัพย์ศรีโสภา" หรือ "ท็อป บิทคับ" รับรางวัล Future Leader Award จากงาน The Forward-Thinker : CEOs Exclusive” รางวัลระดับนานาชาติ จากออสเตรเลีย พร้อมขยายความชัดๆ เมื่อโลกเข้าสู่ยุคเว็บ 3.0
Web 3.0 คืออะไร ? ทำไมถึงเป็นอินเทอร์เน็ต The Next Era โครงสร้างพื้นฐานสำคัญ ในการสร้างจักรวาล Metaverse ซึ่งต้องบอกว่าโลกกำลังก้าวสู่ยุค "Web 3.0" และถูกจับตาว่าเจ้าสิ่งนี้จะสร้างความเปลี่ยนแปลงต่อโลกนี้ในทิศทางใด ? ล่าสุด “ท๊อป จิรายุส ทรัพย์ศรีโสภา” แห่ง “บิทคับ” ได้ขยายความเพื่อสร้างความเข้าใจ เข้าถึง เพื่อทุกคนทุกวัยจะได้ปรับตัวและพร้อมก้าวไปกับเจ้านวัตกรรมนี้
โดยเมื่อวันที่ 18 พ.ย. 2566 ที่โรงแรมเดอะ พาร์ค ไนน์ สุวรรณภูมิ จ.สมุทรปราการ งาน The Forward-Thinker : CEOs Exclusive by SalesLogs จาก Australia มีการมอบรางวัล The Future Leader Award ให้แก่เจ้าของธุรกิจและองค์กรต่าง ๆ หลากหลายสาขาด้วยกัน ซึ่งเป็นรางวัลระดับนานาชาติจากประเทศออสเตรเลีย ที่มอบให้สำหรับผู้บริหารที่ใช้การสื่อสารในโลกออนไลน์ได้อย่างดีเยี่ยม
ซึ่งมีวัตถุประสงค์คือการเป็นผู้บุกเบิกในการสนทนาเกี่ยวกับความก้าวหน้า ของการผสมผสานระหว่างธุรกิจและเทคโนโลยี เพื่อรวมผู้นำคนสำคัญมาร่วมสนทนาถึงผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงของผู้จัดละคร ดารานักแสดง และโซเชียลมีเดีย ในการกำหนดรูปแบบของการดำเนินธุรกิจสำหรับอนาคต ซึ่งเป็นงานที่รวบรวมผู้นำธุรกิจ ที่ผ่านการคัดคุณภาพมามากที่สุดอีกงานหนึ่งของไทย
โดยการรวมตัวกันของผู้นำธุรกิจ แขกพิเศษ และสื่อมวลชน ได้สร้างบรรยากาศที่มีสีสันให้กับผู้เข้าร่วมงานรวม 60 ท่าน ที่จะมาช่วยกันค้นหากลยุทธ์ทำเงินจากเทรนด์ปี 2024 ผ่านนวัตกรรม ซอฟต์แวร์ และสื่อออนไลน์ ในค่ำคืนแห่งความรู้ นวัตกรรม และการยกย่อง เนื่องในโอกาสที่เราเข้าสู่อนาคตของธุรกิจและเทคโนโลยี
"ท๊อป จิรายุส ทรัพย์ศรีโสภา" CEO Bitkub Capital Group Holdings Co., Ltd. กล่าวขอบคุณ John and Jennie Fountain ที่สร้าง forum ดี ๆ The Forward Thinker CEOs Exclusive Forum by SalesLogs Australia ในประเทศไทย โดยระบุว่า
"เว็บ 3.0 คือเจเนอเรชั่นที่ 3 ของอินเทอร์เน็ต เราจะมีเว็บ 1.0 , 2.0 และนี่คือ 3.0 และในแตเจเนอเรชั่นจะมี คอนสตรัคเตอร์ ที่จะใช้เนี่ยมันจะเปลี่ยนไปหมดเลยทุกยุค ทุกสมัย เว็บ 1.0 เนี่ย ตอนนั้นเราจะเป็นเครื่องคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะ แล้วอินเตอร์เน็ตตอนนั้นคือมีโมเด็มเป็นโทรศัพท์บ้าน ที่เสียงดังๆ ในยุคนั้น ซึ่งเว็บ 1.0 มันจะอ่านได้อย่างเดียวเลย ตัวนี้มันเกิดขึ้นตั้งแต่ 1990 - 2000 ส่วน 2000 - 2010 มันเกิดสิ่งทีเรียกว่า ดอทคอม หรือเบราว์เซอร์ เรฟโวลูชั่น 2010 - 2020 มันเกิด สมาร์ทโฟน เรฟโวลูชั่น ใน 20 ปีที่ผ่านมามันคือเว็บ 2.0 เจเนอเรชั่นที่ 2 อินเทอร์เน็ตไม่ใช่โทรศัพท์บ้านแล้ว แต่เป็น 4G หรือ ไฟเบอร์ออฟติค คอมพิวเตอร์ก็ไม่ใช่ตั้งโต๊ะละครับ เป็นแล็ปท็อป เป็นสมาร์ทโฟน เข้าถึงลูกค้าโดยง่าย ไปกับเราได้ทุกที่ทุกเวลา มันสร้างธุรกิจใหม่ๆ อาทิ เรียกแท็กซี่ได้ สั่งอาหารได้ ฯลฯ
ตอนเป็นคลาวด์คอมพิวติ้ง (Cloud Computing) เนี่ย เด็กสมัยนี้ที่มีความคิดใหม่ๆ ไอเดียใหม่ๆ มันก็ทำได้ง่ายโดยการจ่ายเป็นซับสคริปชั่น subscription ใช้ทราฟิกน้อยก็จ่ายน้อยใช้มากก็จ่ายเยอะทีหลัง แต่ก่อนถ้าจะเป็นโฮสต์เซิร์ฟเวอร์ต้องจ่ายหลักแสนหลักล้านเลยทีเดียว คลาวด์คอมพิวติ้ง (Cloud Computing) ก็มาแทน Private Server (ไพรเวทเซิร์ฟเวอร์) ในเว็บ 2.0 ซึ่งเป็นแบบทูเวย์ คอมมูนิเคชั่น หรือ Read and Write เราไม่ใช่อ่านอย่างเดียวละ เราสามารถที่จะเขียนได้แล้ว ไม่ว่าจะเป็นพันทิป เฟซบุ๊ก ที่ทุกคนสามารถโต้ตอบกันได้ แต่มันยังออกมาไม่ได้จากจอ มันเป็นแค่ 2D แล้วกูเกิล กับ เฟซบุ๊ก ก็เพาเวอร์ฟูลเกินไป เวลาเราพูดถึงอะไรสนใจอะไรก็จะมีแอดเข้ามาตามหลอกหลอนเราเสมอ จึงมีกฎหมาย PDPA Personal Data Protection ขึ้นมา
เว็บ 3.0 เกิดขึ้นหลัง 2020 - 2030 จะอยู่ในช่วงของเจเนอเรชั่นที่ 3 ของอินเทอร์เน็ต ที่หลายๆ สิ่งจะเปลี่ยนแปลงไป 4จี ไฟเบอร์ออฟติก ฮาร์ดแวร์ในยุคที่แล้วมันจะถูกแทนด้วยอินเทอร์เน็ตที่มาจากท้องฟ้า ไม่เหมือนเดินอีกต่อไปแล้ว สมาร์ทโฟน หรือ แล็ปท็อป ที่เคยเป็นฮาร์ดแวร์ที่เข้าถึงลูกค้าได้ จะถูกเปลี่ยนเป็นแว่นตาแล้ว AR, BR, MR Technology (Mixed reality) จะโชว์ผลเป็น 3D มันจะเหมือนปรากฏตัวแบบเป็นๆ เลย ฮาร์ดแวร์ดีไวซ์ก็จะไม่หยุดที่สมาร์ทวอชท์ นาฬิกาฉลาด มือถือฉลาด คราวนี้ถึงทีที่โต๊ะ ตู้ เตียงนอน ตู้เย็น จะลุกขึ้นมาฉลาดหมดเลย ทุกอย่างจะสามารถโต้ตอบผู้ใช้งานได้ เพราะว่าอินเทอร์เน็ตจากท้องฟ้า มันจะยิงเดต้าระหว่างกันได้ คือสื่อสารกันและเปลี่ยนข้อมูลกัน เป็นการเก็บข้อมูล พอมันเกิดบิ๊กเดต้าขึ้นก็จะเป็น "เอไอ" ยิงข้อมูลเยอะเท่าไร เอไอ ยิ่งฉลาด
ในยุคเว็บ 2.0 เนี่ย คนก็ดีใจกันใหญ่เพราะมันโต้ตอบกันได้จึงสร้างคอนเทนต์กันขึ้นมา แต่ยังสร้างด้วยคน เว็บ 3.0 มันจะถูกสร้างด้วยเอไอ แล้วเอไอในยุคแรกๆ ก็คือใครชอบอะไรก็จะขึ้นมาแบบนั้น ใครชอบฟุตบอลก็จะเจอฟีดเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับฟุตบอล ใครชอบแมวก็จะมีวิดีโอแมวขึ้นมา แต่จะไม่เห็นฟุตบอลเลย เรียกว่าอยู่โลกคนละใบเลย ซึ่งสิ่งนี้ทำให้สังคมสมาธิสั้นไปหมดแล้ว สำหรับเว็บ 2.0 ทำให้โลกมันแตกแยก ใครชอบสีไหนก็จะมีแต่สีนั้นโผล่ขึ้นมา เสพแต่สิ่งนั้นมาตลอด เขาก็จะคิดว่าสิ่งนั้นเป็นโลกแห่งความเป็นจริง คิดว่ามองผ่านเลนส์ของตัวเอง และจะเกิดความขัดแย้งในสังคม เป็นกันหมดทุกประเทศ ไม่ใช่แค่ไทยเท่านั้น ฝรั่งเศส หรืออะไรก็หนักขึ้น เพราะเป็นผลของเอไอในยุคที่แล้ว
แต่ยุคใหม่เอไอสามารถจะคาดเดาว่าเราต้องการอะไร อย่างอีคอมเมิร์ซก็สามารถจะส่งของล่วงหน้าได้เลย เขารู้เลยว่าอีก 1 เดือนเราต้องการอะไร มันจะรู้จักเราดีกว่าที่เรารู้จักเสียอีก สิ่งที่มันขึ้นมาให้เราเห็นมันจะถูกใจเรา เพราะมันได้เกิดการเรียนรู้ชีวิตของเราแทบหมดแล้ว แถมยังคาดเดาอนาคตได้อีกด้วย ทุกคนจะมีเอไอส่วนตัว ที่จะคอยเก็บประวัติของเราทุกอย่าง รู้ใจเราสามารถติดตามเราทุกย่างก้าว เราไม่ต้องพิมพ์เองแล้วแค่พูดคุยกับเอไอของเราก็พอ มันก็จะจัดการให้เราได้ทั้งหมดเลย อย่างเช่นเราพูดว่าจะไปเที่ยวเขาใหญ่ เอไอก็จะไปค้นหามาให้ทั้งหมดว่าโรงแรมนี้ดีที่สุด โปรโมชั่นนี้ดีสุด จองผ่านแอพนี้ เราจะไม่ต้องหาอะไรเลย มันจะดึงสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับเรามาโชว์เลย นี่คือสิ่งใหม่ๆ ที่จะเกิดขึ้นในเว็บ 3.0
อีกหน่อยการรับเงินมูลค่าก็จะเป็นอินเทอร์เน็ตมันนี่แล้ว เมื่อก่อนยังต้องรับเงินผ่านแบงก์ ที่เป็นระบบออฟไลน์มันจะเป็นฟูลลี่ออนไลน์ระบบเดียวกันหมดเลย อย่างโอนเงินข้ามประเทศเนี่ยมันจะง่ายเหมือนส่งสติกเกอร์หากัน
ใน 5 ปีข้างหน้าทุกอย่างจะชัดเจนมากยิ่งขึ้น เอไอเริ่มแอดวานซ์มากขึ้นเรื่อยๆ นวัตกรรมรถขับเคลื่อนได้เองก็มีแล้ว ต่างประเทศเริ่มเก็บข้อมูลกันมากแล้ว เดต้าคือที่มีมูลค่ามหาศาล มันคือน้ำมันในยุคถัดไป
ตอนนี้ประเทศที่มีเทคโนโลยี 3.0 แบบชัดๆ ก็คือมหาอำนาจอย่าง อเมริกา และ จีน ทั้งสองกำลังแข่งขันกันอยู่ แต่คนที่จะเป็นเบอร์หนึ่งของโลกได้จริงคือผู้ที่คอนโทรลเทคโนโลยี มันจะมีหลายปัจจัย อย่างคลุมเงินตราของประเทศ กำลังทหาร จึงเกิดกันต่อสู้เพื่อจะแย่งกันเป็นเบอร์ 1 ในตอนนี้
สำหรับประเทศไทย เทคโนโลยีตัวนี้จะเกิดขึ้นพร้อมๆ กันทั่วโลก และถ้าที่จีนหรืออเมริกาเสร็จ มันจะถูกส่งผ่านคราวน์ ใครที่ใช้ Amazon Web Services cloud อยู่ หัวเว่ยคราวน์ มันจะถูกใส่เข้าไปในคราวน์อยู่แล้ว เราไม่ต้องพัฒนาเองมันจะเข้าถึงโดยพวกคราวน์เบสแอพพลิเคชั่นได้เลย
ทั้งหมดนี้คือสิ่งที่จะเกิดขึ้นจริงในอนาคตอีกไม่ไกล ทั้งในมิติทางธุรกิจสังคม และไลฟ์สไตล์ ไม่ใช่แค่จินตนาการอีกแล้ว คนไทยและคนทั่วโลกเตรียมเปิดรับสิ่งใหม่ไฮเทคสุดๆ ได้เลย อีกไม่นาน
คุณพงศ์วุฒิ ไพรไพศาลกิจ CEO of Multiverse Expert กล่าวว่า ตอนนี้เป็นยุค Digital Disruption อย่างการทำ concert ของ Blackpink ซึ่งในโลกปัจจุบันสถานที่จัดมีจำกัด อย่างมากสุดคือหลายแสนคน แต่คอนเสิร์ตของ blacking ที่ทำในโลก Metaverse คนดูมากกว่า 1.8 ล้านคน ตอนนี้โลกของเราต้องปรับ ถึงจะสามารถขยาย ธุรกิจในการโต้คลื่น digital disruption นี้ไปด้วยอย่างสวยงาม
คุณธนวินท์ รัฐเมธา CEO of JVentures Co.,Ltd กล่าวว่า การนำโทเค่นมาสร้างประโยชน์ทางธุรกิจ ระบบเมมเบอร์ชิฟ สร้างประโยชน์ใหกับลูก ค้าธุรกิจ JMart ได้ปฎิวัติการทำ membership ใหม่ให้กับลูกค้า ด้วยการเอา NFT Token มาช่วยในการ ตลาด และยกระดับการขาย ให้ membership ของ ลูกค้าของ JMart ให้ได้ประสิทธิผลมากขึ้น
เดเมี่ยน เคอนิส Co-Founder Siam Car Deal กล่าวว่า ให้คนไทยเริ่มเอา chatgpt มาใช้ หรือเชื่อมกัน ดาต้าที่ในองค์กรของเรามีอยู่เพราะ คนไทยยังสามารถร่วมเรียนรู้ไปได้ด้วยกับการพัฒนาของ AI ในไทยเพราะว่าภาษาไทยนั้นยัง AI ยังต้องการการเรียนรู้มากขึ้น ถ้าเริ่มทำต้องตอนนี้และเดี่ยวนี้ แต่ก่อนอื่นองค์กรควรจะต้องเริ่มมีดาต้าเป็นขององค์กรเอง เพื่อจะได้ให้เอา chatgpt เข้ามาร่วมพัฒนาการเรียนรู้ไปพร้อม ๆ กันกับองค์กร