"พีระพันธุ์"ชี้ย้ายท่าเรือคลองเตยต้องพิจารณาผลกระทบต่อระบบการขนส่งน้ำมันทางท่อ ประชาชนในพื้นที่
เมื่อวันที่ 9 ส.ค.67 ที่รัฐสภา นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.พลังงาน ได้ตอบกระทู้ถามแยกเฉพาะของ ของ นายภัณฑิล น่วมเจิม ส.ส. กทม. เรื่องขอให้ชี้แจงเหตุผลและความจำเป็นของการย้ายคลังน้ำมันในเขตคลองเตยและเขตยานนาวา และโรงกลั่นน้ำมันในเขตพระโขนง กทม.ว่า กระทรวงพลังงานมีการศึกษาความเป็นไปได้ในการย้ายคลังน้ำมันในเขตคลองเตยและเขตยานนาวา และโรงกลั่นน้ำมันในเขตพระโขนง กทม. เพื่อให้สอดคล้องกับผังเมือง กทม. หรือไม่ และกระทรวงพลังงานมีนโยบายหรือแนวทางการป้องกันสาธารณะภัยของคลังน้ำมันในเขตคลองเตยและเขตยานนาวา และโรงกลั่นน้ำมันในเขตพระโขนงอย่างไร
นายพีระพันธุ์ชี้แจงว่า กระทรวงพลังงานเห็นด้วยกับผู้ตั้งกระทู้ถามเกี่ยวกับการศึกษาความเป็นไปได้ของการย้ายคลังน้ำมันออกไปนอกพื้นที่ ประกอบกับนายกรัฐมนตรีได้มีข้อสั่งการ เมื่อวันที่ 2 เม.ย.67 ให้กระทรวงพลังงานศึกษาความเป็นไปได้ในการย้ายท่าเรือกรุงเทพ (คลองเตย) ออกจากพื้นที่กรุงเทพฯ ตามแผนพัฒนาพื้นที่ท่าเรือกรุงเทพ ของการท่าเรือแห่งประเทศไทย (กทท.) ทั้งนี้ ต้องพิจารณาถึงผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นต่อระบบการขนส่งน้ำมันทางท่อ เนื่องจากคลังน้ำมันและโรงกลั่นดังกล่าวได้ก่อตั้งในพื้นที่มาเป็นระยะเวลานาน และเป็นจุดตั้งต้นในการขนส่งน้ำมันทางท่อ ประกอบด้วย คลังน้ำมัน โรงกลั่น และโครงข่ายระบบขนส่งน้ำมัน หากต้องมีการย้ายคลังออกไปพื้นที่อื่น จะต้องคำนึงถึงค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นในหลักแสนล้านบาท และการกระจายน้ำมันไปสู่พื้นที่ กทม. และปริมณฑล รวมถึงน้ำมันเครื่องบินสำหรับท่าอากาศยานทั้ง 2 แห่ง รวมถึงค่าชดเชยที่ต้องจ่ายให้กับเอกชน ตลอดจนผลกระทบที่เกิดกับประชาชนที่อยู่อาศัยในพื้นที่
สำหรับนโยบายหรือแนวทางการป้องกันสาธารณะภัยของคลังน้ำมันนั้น กระทรวงพลังงานโดยกรมธุรกิจพลังงานมีภารกิจในการกำกับดูแลและกำหนดมาตรการด้านความปลอดภัยการประกอบกิจการคลังน้ำมันเชื้อเพลิงเท่านั้น ส่วนโรงกลั่นน้ำมันอยู่ภายใต้การกำกับดูแลด้านความปลอดภัยโดยกระทรวงอุตสาหกรรม อย่างไรก็ตาม กระทรวงพลังงานได้มีการบูรณาการร่วมกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในพื้นที่ การท่าเรือแห่งประเทศไทย และบริษัทน้ำมัน ในการร่วมฝึกเพื่อเผชิญเหตุและแก้ไขเหตุการณ์วิกฤตที่จะเกิดขึ้น