ทีมเศรษฐกิจ พปชร. อัดดิจิทัลวอลเล็ตไม่ใช่พายุหมุนแต่เป็นแค่ฝนหลงฤดู

2024-09-17 20:13:34

ทีมเศรษฐกิจ พปชร. อัดดิจิทัลวอลเล็ตไม่ใช่พายุหมุนแต่เป็นแค่ฝนหลงฤดู

Advertisement

ทีมเศรษฐกิจ พปชร. อัดดิจิทัลวอลเล็ตจุดบกพร่องเยอะ ไม่ใช่พายุหมุนแต่เป็นแค่ฝนหลงฤดู

เมื่อวันที่ 17ก.ย.67 ที่พรรคพลังประชารัฐ(พปชร.) ทีมเศรษฐกิจพรรคพลังประชารัฐ​ ประกอบด้วย นายอุตตม สาวนายน อดีต รมว.คลัง นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ อดีต รมว.พลังงาน นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล อดีต รมว.คลัง และ พล.ต.ท.ปิยะ ต๊ะวิชัย โฆษกพรรคพลังประชารัฐ ร่วมกันแถลงข่าวตรวจสอบนโยบายรัฐบาล "แพทองธาร 1" ที่แถลงต่อรัฐสภา โดยมุ่งตรงไปยังนโยบายเศรษฐกิจ ทั้งการแก้หนี้ ดิจิตอลวอลเล็ต และกองทุนวายุภักษ์

นายอุตตม กล่าวว่า ตนเห็นด้วยกับรัฐบาลที่กำหนดการแก้หนี้เป็นนโยบายเร่งด่วนลำดับแรกของคณะรัฐมนตรี แต่อย่างไรก็ตาม มีข้อเสนอแนะว่า การแก้หนี้ให้บรรลุผลนั้น ต้องทำครบวงจร เช่น รัฐบาลต้องผนึกธนาคารแห่งประเทศไทย สถาบันการเงินเอกชน/รัฐ เพื่อแก้ปัญหาได้อย่างยืนในทุกมิติที่เกี่ยวข้อง เพื่อบรรเทาความเดือนร้อน เติมกำลังให้ประชาชนและเศรษฐกิจ สร้างอนาคตประเทศ ทั้งนี้ โครงการที่ทำต้องเข้าถึงประชาชนฐานรากทั่วทั้งประเทศ บริการเสมอภาคเป็นธรรม พร้อมทั้งมีการนำเทคโนโลยีมาร่วมขับเคลื่อน


นายอุตตม กล่าวถึง มาตรการที่ใช้ขับเคลื่อนว่า  รัฐมนตรีการคลังควรหารือกับ ธปท. ถึงแนวทางการลดเงินที่เก็บเข้ากองทุนฟื้นฟูฯ(FIDF) เหลือ ร้อยละ 0.23 ต่อ 6 เดือน ชั่วคราว 5 ปี เพื่อนำเงินที่ประหยัดได้ไปลด ยอดหนี้ (haircut) สำหรับลูกหนี้ที่มีรายได้ไม่เกินเดือนละ 30,000 บาท และต้องเจรจาให้ธนาคารต้องนำกำไรสะสมมาร่วมด้วยไม่น้อยกว่า ร้อยละ 25 ของหนี้ที่ลดให้แก่ลูกหนี้ อันเป็นการร่วมมือกันแก้ปัญหาระหว่างรัฐกับเอกชน” นายอุตตม กล่าว

ด้านนายสนธิรัตน์ ได้กล่าวถึง 3 ประเด็น ที่อยากจะให้รัฐบาลได้รับทราบถึงทำงานของของพรรค พปชร. ว่า 1.ดิจิทัลวอลเล็ต ถือว่าเป็นโครงการเรือธงของรัฐบาล และเป็นโครงการที่รัฐบาลใช้หาเสียง ซึ่งพรรคพลังประชารัฐไม่สบายใจ เพราะโครงการนี้เดินบนความไม่แน่นอนตลอดเวลากว่าหนึ่งปีของรัฐบาล ที่มีพรรคเพื่อไทยเป็นแกนนำ การเปลี่ยนแปลงในเนื้อหาสาระของโครงการคือสิ่งที่เราตั้งข้อสังเกตมาโดยตลอด ตั้งแต่รูปแบบเงินดิจิตัลที่หลายฝ่ายตั้งคำถามมากมาย รวมทั้งทีมวิชาการของพรรคได้ตั้งคำถามว่า เงินดิจิตัลจะใช้สกุลอะไร ไทม์ไลน์ กลุ่มเป้าหมาย วิธีการใช้จ่ายก็มีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา จนเดือน ส.ค.ที่ผ่านมาได้ข้อยุติเป็นครั้งแรกว่า จะใช้เงินสดเป็นตัวดำเนินนโยบาย จึงได้ตั้งข้อสังเกตว่า การใช้เงินสดจากการหาเสียงมีความตรงกันหรือไม่ แต่พรรคพลังประชารัฐดีใจที่รัฐบาลจะนำเงินออกมากระตุ้นเศรษฐกิจตามความตั้งใจตั้ง เอาเงินมาช่วยประชาชนกลุ่มเปราะบางที่มีความจำเป็นที่ต้องได้รับการเยียวยาจากรัฐบาล กลุ่มที่จะได้รับ 14.5 ล้านคน เป็นผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐและผู้พิการ ซึ่งชัดว่าโครงการบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ กลายเป็นโครงสร้างหลักของการดำเนินการนโยบายของรัฐบาล ไม่ว่าแจกเงินสดผูกกับบัตรประชาชน และใช้กลไกพร้อมเพลย์ หวังว่าจะยังให้ความสำคัญกับร้านธงฟ้าประชารัฐ ซึ่งเป็นกลไกที่อุ้มให้ร้านค้าของประชาชนจาก 0 ร้าน เป็น 84,000 ร้าน 2.ผลกระทบที่รัฐบาลหวังว่าจะเป็นพายุหมุนทางเศรษฐกิจ ที่คาดว่าจะทำให้เกิดการกระตุ้นต่อจีดีพี เราจะติดตามผลกระทบของพายุหมุนเศรษฐกิจครั้งนี้ จะเป็นพายุหมุนสมกับเม็ดเงินงบประมาณที่รัฐบาลใช้ หรือเป็นเพียงแค่ ”ฝนหลงฤดูของรัฐบาล

นายสนธิรัตน์ กล่าวต่อว่า 3.งบประมาณ 140,000 ล้านบาท เราจะตรวจสอบว่ากระทบต่อ GDP ถึง ร้อนละ 0.35 หรือไม่ และงบดังกล่าวนำมาใช้ในโครงการดิจิตัลวอลเล็ตลดการเติบโตด้านอื่นหรือไม่ ทำให้เกิดผลกระทบการที่รัฐบาลจะจะใช้เงินก้อนนี้ ในการทำโครงสร้างพื้นฐาน หรือประโยชน์สาธารณะอย่างไร ซึ่งการดึงงบประมาณเหล่านี้ จะมีผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้น เราจะต้องติดตามกันอย่างใกล้ชิด

นายสนธิรัตน์ กล่าวอีกว่า ส่วนผู้ลงทะเบียนดิจิตัลวอลเล็ต จำนวน 36 ล้านคน รัฐบาลได้แถลงว่าจะดำเนินการแน่นอนในส่วนของผู้ที่ลงทะเบียน แต่ก็มีคำถามว่า จะทำเมื่อไหร่ จะทำอย่างไร จะทำวิธีไหน งบประมาณจะมาจากไหน นี่คือจุดใหญ่ที่ทางพรรคพลังประชารัฐ อยากเห็นโครงการเรือธงของรัฐบาล เป็นโครงการที่สามารถแก้ปัญหาเศรษฐกิจได้จริงเราไม่อยากเห็นโครงการเรือธงกลายเป็นโครงการเรือร่ม ออกสตาร์ทแค่ปากอ่าวแล้วไปได้ไม่ไกล 

ด้านนายธีระชัย กล่าวว่า การขับเคลื่อนนโยบายของรัฐที่นำเอากองทุนวายุภักษ์เพื่อระดมทุนนั้น เป็นการใช้นโยบายอุ้มคนมีเงิน สร้างความไม่เป็นธรรมในสังคมและมีความเสี่ยงผิดกฎหมาย ตนขอเตือนว่าการระดมเงินแล้วไปเก็งกำไร ทั้งในตลาดหลักทรัพย์และนอกตลาดหลักทรัพย์ ทั้งทองคำ น้ำมันดิบ สินค้าโภคภัณฑ์ หุ้นกู้เครดิตต่ำ (junk bond) ฯลฯ ที่ไม่ใช่กิจหน้าที่ของกระทรวงการคลัง เป็นเรื่องไม่เหมาะสมและเสี่ยงผิดกฎหมาย

"ผมได้มีหนังสือ 4 ฉบับเสนอแนะให้นายกฯ แพทองธาร ชินวัตรทบทวน เพราะมีปัญหา 2 ด้าน คือก่อปัญหาความไม่เป็นธรรมในสังคม เป็นการรอนสิทธิของประชาชนทั้งประเทศ สิทธิของข้าราชการ และสิทธิของผู้ใช้แรงงานไปให้แก่ผู้ถือหน่วยลงทุนประเภท ก. ซึ่งเป็นคนกลุ่มน้อย และยังอาจมีปัญหาคนต่างชาติใช้ชื่อคนไทยเป็นนอมินีเพื่อแสวงหาประโยชน์อีกด้วย นอกจากนี้ มีความเสี่ยงผิดกฎหมาย กรณีหากมีผู้ใดฟ้องศาลให้ระงับเงื่อนไข ซึ่งทำให้ผู้ลงทุนรายใหม่ได้รับความเสียหาย รัฐมนตรีคลังอาจเข้าข่ายประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง" นายธีระชัย กล่าว