ศาลอนุมัติออกหมายจับ "เอกภพ" เจ้าตัวไม่กังวลใจยันสิ่งที่ทำเพื่อช่วยพี่น้องประชาชน
เมื่อวันที่ 22 พ.ย. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บก.ปอท.) นำหลักฐานไปยื่นต่อศาล เพื่อขออนุมัติหมายจับ นายเอกภพ เหลืองประเสริฐ ผู้ก่อตั้งมูลนิธิสายไหมต้องรอด ในความผิดฐาน "โดยทุจริต หรือโดยหลอกลวง นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่ บิดเบือน หรือปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วนหรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่ย่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชน อันมิใช่การกระทำความผิดฐานหมิ่นประมาทตามประมวลกฎหมายอาญา"
ด้านนายเอกภพ ได้เดินทางเข้าให้ข้อมูลกองบังคับการปราบปราม (บก.).) ปมพยานเท็จในคดีดิไอคอนกรุ๊ป ให้สัมภาษณ์ว่า เพิ่งทราบจากพี่นักข่าว ก็เป็นไปตามกระบวนการกฎหมาย ยืนยันว่า สิ่งที่ทำเพื่อช่วยพี่น้องประชาชน ไม่รู้จักกลุ่มบอสดิไอคอนกรุ๊ปเป็นการส่วนตัว และการนำตัวพยานเข้าให้ปากคำก็เป็นเพราะพยานมาแจ้งตน ยืนยันมีพยานหลักฐานตั้งแต่ต้นจนจบ ตอนนี้ไม่กังวลใจ เชื่อว่าตำรวจจะให้ความเป็นธรรมกับผม เคสนี้ผมแค่ให้ช่วยเหลือตามปกติหากเห็นหมายจับก็ยินดีที่จะมอบตัว หากมาช่วยเหลือประชาชนแล้วถูกดำเนินคดีผมก็พร้อม
ล่าสุดภายหลังเสร็จสิ้นการสอบปากคำรับทราบข้อกล่าวหานานกว่า 4 ชม.นายเอกภพ เ ได้ยื่นขอประกันตัว โดยวางเงินสดจำนวน 5 หมื่นบาท เพื่อเป็นหลักประกัน ก่อนทางพนักงานสอบสวนจะพิจารณาเห็นว่าเจ้าตัวไม่มีพฤติกรรมในการหลบหนี รวมถึงมีที่อยู่เป็นหลักแหล่ง จึงเห็นควรให้ได้รับการปล่อยตัวชั่วคราว
นายเอกภพ กล่าวว่า คดีนี้เป็นคดีที่กลุ่มบอสดิไอคอนกรุ๊ป มอบหมายทนายความให้มาแจ้งความตนในข้อหาความผิด พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ ซึ่งตนเองให้การปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา และก็ได้นำข้อมูลที่เป็นข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นตั้งแต่ต้นให้เจ้าหน้าที่ตำรวจไปทั้งหมดแล้ว ทั้งบันทึกการสนทนานานกว่า 1 ชม. แชตข้อความต่างๆ ให้การตามข้อเท็จจริงทั้งหมด ทางตำรวจก็บอกว่าเป็นประโยชน์ เป็นข้อมูลอีกด้านเช่นกัน
นายเอกภพ กล่าวว่า พยานที่ตนเองเคยพามาก็ได้แจ้งความดำเนินคดีไปแล้ว เพื่อเป็นตัวอย่างใครก็ตามที่จะส่งข้อมูลมาให้ตนเอง แต่ให้ข้อมูลเท็จ หรือไปให้ข้อมูลกับผู้อื่นอีกแบบหนึ่ง คนแบบนี้ต้องถูกดำเนินคดีทั้งหมด ซึ่งมีอีกหลายคนที่เตรียมดำเนินคดี โดยเฉพาะใครก็ตามที่พูดหรือทำให้ตนเสียหาย รวมถึงทนายบอสพอลตนจะส่งของขวัญไปให้ก่อนปีใหม่แน่นอน ยืนยันว่า ตนและทีมงานเพจสายไหมต้องรอด พยายามคัดกรองตรวจสอบข้อมูลทุกอย่างเท่าที่ทำได้แล้ว เมื่อเห็นว่าอาจเป็นประโยชน์กับตำรวจ จึงได้นำมาให้การกับตำรวจ ไม่เคยรับเงินไม่ว่าจะกรณีใดทั้งสิ้น