กระดูกสันหลังคดเป็นภาวะที่กระดูกสันหลังโค้งงอผิดปกติไปด้านข้าง ซึ่งอาจส่งผลต่อบุคลิกภาพ การเคลื่อนไหว และในบางกรณีอาจส่งผลต่อการทำงานของปอดและหัวใจ การวินิจฉัยกระดูกสันหลังคดตั้งแต่เนิ่นๆ และได้รับการรักษาที่เหมาะสมจึงเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อป้องกันความรุนแรงของอาการและช่วยให้ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น บทความนี้จะพาคุณไปทำความรู้จักกับวิธีการตรวจวินิจฉัยกระดูกสันหลังคด และเทคนิคการรักษาต่างๆ ที่เหมาะสม
กระดูกสันหลังคดคืออะไร?
กระดูกสันหลังคด (Scoliosis) คือภาวะที่กระดูกสันหลังโค้งงอไปด้านข้างเป็นรูปตัว C หรือตัว S แทนที่จะเป็นเส้นตรงตามปกติ โดยส่วนใหญ่แล้ว ภาวะนี้มักเกิดขึ้นในช่วงวัยเด็กหรือวัยรุ่น และอาจมีสาเหตุมาจากหลายปัจจัย ทั้งทางพันธุกรรม และความผิดปกติอื่นๆ ของร่างกาย
วิธีการตรวจวินิจฉัยกระดูกสันหลังคด
การวินิจฉัยกระดูกสันหลังคดต้องอาศัยการตรวจร่างกายและการตรวจเพิ่มเติมทางรังสี เพื่อประเมินความรุนแรงและตำแหน่งของการคด ซึ่งมีวิธีการดังนี้:
1. การตรวจร่างกาย:
- การสังเกต: แพทย์จะสังเกตลักษณะของกระดูกสันหลังในท่านั่ง ยืน และก้มตัว เพื่อดูว่ามีลักษณะโค้งงอหรือไม่ มีความสูงของไหล่หรือสะโพกไม่เท่ากันหรือไม่
- การคลำ: แพทย์จะคลำตามแนวของกระดูกสันหลัง เพื่อตรวจหาความผิดปกติ เช่น ความไม่สมมาตรของกระดูกซี่โครง หรือกล้ามเนื้อ
- การทดสอบการก้มตัวไปข้างหน้า (Adam’s Forward Bend Test): ผู้ป่วยจะก้มตัวไปข้างหน้า แล้วแพทย์จะสังเกตว่ามีกระดูกซี่โครงหรือหลังส่วนล่างนูนขึ้นมาหรือไม่ ซึ่งแสดงถึงความผิดปกติของกระดูกสันหลัง
2. การตรวจทางรังสี:
- การเอกซเรย์ (X-ray): เป็นการตรวจที่สำคัญที่สุดในการวินิจฉัยกระดูกสันหลังคด โดยแพทย์จะทำการถ่ายภาพรังสีของกระดูกสันหลังในท่าตรงและท่าด้านข้าง เพื่อวัดมุมโค้งของกระดูกสันหลัง และประเมินความรุนแรงของภาวะนี้
- การตรวจ MRI (Magnetic Resonance Imaging): ในบางกรณี แพทย์อาจพิจารณาตรวจ MRI เพื่อดูความผิดปกติของเส้นประสาท หรือเนื้อเยื่อรอบกระดูกสันหลัง หากสงสัยว่ามีสาเหตุอื่นๆ ที่ทำให้เกิดกระดูกสันหลังคด
เทคนิคการรักษาที่เหมาะสมสำหรับกระดูกสันหลังคด
การรักษากระดูกสันหลังคดจะแตกต่างกันไปตามความรุนแรงของอาการ อายุของผู้ป่วย และความเสี่ยงต่อการดำเนินโรค โดยทั่วไปแล้ว การรักษาอาจแบ่งได้เป็น 3 วิธีหลักๆ คือ
1. การสังเกตอาการ (Observation): สำหรับผู้ป่วยที่มีมุมโค้งของกระดูกสันหลังน้อยกว่า 25 องศา และไม่มีความเสี่ยงต่อการดำเนินโรค แพทย์อาจแนะนำเพียงการสังเกตอาการเป็นระยะ โดยทำการตรวจร่างกายและถ่ายภาพรังสีเป็นประจำทุก 4-6 เดือน เพื่อติดตามการเปลี่ยนแปลง
2. การใส่เสื้อเกราะพยุงหลัง (Bracing): สำหรับผู้ป่วยที่มีมุมโค้งของกระดูกสันหลังระหว่าง 25-40 องศา และยังมีกระดูกสันหลังที่กำลังเจริญเติบโต แพทย์อาจแนะนำให้ใส่เสื้อเกราะพยุงหลัง เพื่อช่วยควบคุมการคดของกระดูกสันหลัง และป้องกันไม่ให้อาการแย่ลง การใส่เสื้อเกราะพยุงหลังต้องทำตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด และอาจต้องใส่ตลอดเวลา หรือเฉพาะในเวลากลางคืน ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของอาการ
3. การผ่าตัด (Surgery): สำหรับผู้ป่วยที่มีมุมโค้งของกระดูกสันหลังมากกว่า 40 องศา หรือมีอาการปวดหลังเรื้อรัง หรือมีผลกระทบต่อการทำงานของปอดและหัวใจ แพทย์อาจพิจารณาการผ่าตัด โดยมีเป้าหมายเพื่อปรับแนวของกระดูกสันหลังให้ตรงขึ้น ลดอาการปวด และป้องกันภาวะแทรกซ้อน การผ่าตัดอาจมีหลายวิธี เช่น การเชื่อมกระดูกสันหลัง (Spinal fusion) และการใส่เครื่องมือดามกระดูกสันหลัง (Instrumentation)
การดูแลตนเองเพิ่มเติมสำหรับผู้ป่วยกระดูกสันหลังคด
- ออกกำลังกาย: การออกกำลังกายที่เหมาะสม เช่น การว่ายน้ำ การเดิน หรือการเล่นโยคะ จะช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ และเพิ่มความยืดหยุ่นของกระดูกสันหลัง
- รักษาน้ำหนักตัว: การมีน้ำหนักตัวที่เหมาะสม จะช่วยลดภาระของกระดูกสันหลัง
- พักผ่อนให้เพียงพอ: การพักผ่อนที่เพียงพอ ช่วยให้ร่างกายฟื้นตัว และลดอาการปวดเมื่อย
- ปรึกษาแพทย์อย่างสม่ำเสมอ: การพบแพทย์ตามนัดหมาย จะช่วยให้แพทย์สามารถติดตามอาการ และปรับแผนการรักษาได้อย่างเหมาะสม
การวินิจฉัยกระดูกสันหลังคดตั้งแต่เนิ่นๆ และได้รับการรักษาที่เหมาะสม จะช่วยให้ผู้ป่วยสามารถใช้ชีวิตได้อย่างปกติ และมีคุณภาพชีวิตที่ดี รวมถึงการตรวจร่างกาย การตรวจทางรังสี และการปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เป็นขั้นตอนที่สำคัญในการดูแลรักษากระดูกสันหลังคดอีกด้วย