Thailand Web Stat

"ทวี"ยันชาวอุยกูร์มีบันทึกสมัครใจยินยอมกลับจีน

2 วันที่แล้ว

"ทวี"ยันชาวอุยกูร์มีบันทึกสมัครใจยินยอมกลับจีน

Advertisement

 "ทวี"ยันชาวอุยกูร์มีบันทึกสมัครใจยินยอมกลับจีน แนะ "กัณวีร" อยากดูให้ทำเรื่องไปที่ สมช.

เมื่อเวลา 21.40 น. วันที่ 24 มี.ค. 68 ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร เพื่อพิจารณาญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล โดยพ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รมว.ยุติธรรม ชี้แจงกรณีส่งชาวอุยกูร์กลับจีน ว่า ตนเข้าใจดีว่าศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์มีคุณค่ามีความสำคัญ ในชีวิตของตนยึดถือสิ่งนี้ตลอดมา ต้องยอมรับว่าเมื่อเข้ามาเป็นรมว.ยุติธรรม ในฐานะประธานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทรมาน และการทำให้บุคคลสูญหาย สิ่งหนึ่งที่เป็นปัญหาของประเทศมายาวนานคือชาวอุยกูร์ที่อยู่ในสถานกักตัวคนต่างด้าว สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (สตม.) ซึ่งห้องกักขังมีสภาพทำผิดกฎหมายมาตรา 6 ของ พ.ร.บ.ป้องกันปราบปรามการทรมาน หรือศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์หรือไม่ จึงมีการตั้งกรรมการที่เป็นบุคคลภายนอกหลายท่านเข้าไปดูในห้องกักของสตม. กระทั่งมีการนำเรื่องเข้าสู่คณะกรรมการฯ ได้ข้อสรุปว่าสภาพเขาไม่ต่างจากสัตว์ที่อยู่ในห้องกักที่มีคนประมาณพันกว่าคน และมีคนตายไปแล้ว 4 คน จึงต้องหาทางออก คณะกรรมการฯมีข้อเสนอ 1.ขอให้ส่งกลับจีนโดนสมัครใจ 2.ให้ส่งไปยังประเทศตะวันตกที่เป็นประเทศใหญ่ๆ 3.ส่งไปประเทศคนกลาง และ4.มีการขยายพื้นที่แห่งใหม่

พ.ต.อ.ทวี กล่าวต่อว่า เมื่อนำเรื่องเข้าสู่ที่ประชุมสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) โดยอัยการสูงสุด (อสส.) เข้าประชุมด้วยเห็นว่าควรมีการส่งกลับโดยสมัครใจ และได้รับการยินยอม ซึ่งตน และสมช.ก็มีกระบวนการที่นำชาวอุยกูร์ 10 กว่าคนที่ถูกส่งกลับไปก่อนหน้านี้แล้วส่งวิดีโอมาคุยกับคนที่ห้องกัก และทราบว่าทุกคนมีบันทึกสมัครใจและยินยอมกลับ ตนยืนยันว่าเห็น และถามเลขาสมช. ว่าหากมีการขอดูจะได้หรือไม่ เพราะถือเป็นเอกสารชั้นความลับของสมช. อีกทั้งผู้สมัครใจกลับมีความหวาดกลัวพอสมควร จึงอยากให้นายกัณวีร์ สืบแสง ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเป็นธรรม ทำเรื่องตามพ.ร.บ.ข้อมูลข่าวสารไปที่สมช. ท่านก็จะได้เห็น

พ.ต.อ.ทวี กล่าวยืนยันด้วยว่า ตามกฎหมายเขาอยู่ในสภาพที่ถูกทำลายศักด์ศรีความเป็นมนุษย์มา 10 ปี มีคนเสียชีวิต และเจ็บป่วย ในสภาพที่ไม่รู้ว่าจะส่งทอดมรดกของการกักขังไปอีกนานเท่าไหร่ เพราะ 11 ปีที่ผ่านมาเราอาจไม่กล้าตัดสินใจ ซึ่งการส่งกลับเราคำนึงถึงมาตรา 13 ตามพ.ร.บ. ป้องกันและปราบปรามการทรมานและการทำให้บุคคลสูญหาย ที่บัญญัติห้ามมิให้หน่วยงานรัฐส่งตัวบุคคลไปยังรัฐหนึ่ง หากมีเหตุอันควรเชื่อว่าบุคคลนั้นจะตกอยู่ในอันตราย หรือถูกย่ำยีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ หรือถูกกระทำให้สูญหาย อสส.เห็นว่าเป็นการดำเนินการตามคำยินยันของบันทึกทางการทูตประกอบกับเป็นความผิดลหุโทษ และจะไม่มีการแจ้งข้อหาความผิดอื่นเมื่อกลับไปจีน จึงสามารถส่งกลับสู่ครอบครัวที่จีนได้ทันที และไทยฐานะผู้รับผิดชอบบริหารจัดการผู้ลี้ภัยเข้าเมืองชาวอุยกูร์ สามารถเดินทางไปจีนเพื่อตรวจสอบติดตามบุคคลดังกล่าว จึงถือว่าคำมั่นสัญญาเป็นทางการที่ไม่ปรากฎบ่อยนักของประเทศมหาอำนาจ

“ยืนยันว่า อุยกูร์กลุ่มนี้ไม่มีหนังสือจากสำนักงานข้าหลวงใหญ่แห่งสหประชาชาติ (UNHCR) ว่ามีสถานะเป็นผู้ลี้ภัย แต่เป็นเพียงผู้หลบหนีเข้าเมือง ถ้าเป็นผู้ลี้ภัย UNHCR ต้องส่งหนังสือมา และไม่ว่าเราจะถูกกดดันด้วยประเทศมหาอำนาจทางการค้า แต่ทำทั้ง 40 คน มีชีวิตที่ดีขึ้น ผมคิดว่าความยุติธรรม และศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ย่อมมีความสำคัญกว่า ผมได้ไปพบครอบครัวชาวอุยกูร์ 3 คน เหมือนเขาได้ชีวิตกลับมา เรื่องสิทธิมนุษยชนเรื่องทำถูกกฎหมายให้เขากลับไปมีชีวิตที่ดีขึ้น สวัสดิการของจีนดีกว่าของไทยเยอะ เขามีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ซึ่งผมรู้สึกเสียใจต่อท่านที่อภิปรายแล้วใช้คำพูดที่ด้อยค่า ด้อยค่าผมไม่เป็นไร แต่ท่านด้อยค่าคนที่ไปมีชีวิตที่ดีขึ้น ด้อยค่าจีนที่เป็นประเทศมหาอำนาจของยูเอ็น ท่านไปว่าเขาโหดร้าย ผมรู้สึกเสียใจกับคำพูดของท่าน” พ.ต.อ.ทวี กล่าว