ศาลตัดสินจำคุก “เสก โลโซ” 2 ปี 21 เดิอน ไม่รอลงอาญา ฐานต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงานในการปฏิบัติหน้าที่ เสพยา และมีอาวุธปืนเครื่องกระสุนปืนไว้ในความครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต
เมื่อวันที่ 25 ต.ค. ที่ห้องพิจารณา 301 ศาลจังหวัดมีนบุรี นัดพิพากษา คดีที่พนักงานอัยการสำนักงานคดีอาญา 12 (มีนบุรี) เป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายเสกสรรค์ ศุขพิมาย หรือ เสก โลโซ ร็อกเกอร์ชื่อดังวัย 44 ปี เป็นจำเลย ในความผิด 1.ฐานต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงานในการปฏิบัติตามหน้าที่ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 138 2.เสพยาเสพติด และ 3.มีอาวุธปืนเครื่องกระสุนปืนไว้ในความครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต ตาม พ.ร.บ.อาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืน พ.ศ.2490 กรณีเมื่อวันที่ 30 ธ.ค.2560 เวลาประมาณ 18.00 น. จำเลยได้มีอาวุธปืนพกออโตเมติก ขนาด 9 มม. จำนวน 1 กระบอก และกระสุนปืนออโตเมติกอีกจำนวน 6 นัด และจำเลยเสพเมทแออมเฟตามีน กับเสพไอซ์ อันเป็นยาเสพติดให้โทษประเภท 1 เข้าสู่ร่างกายซึ่งจำนวนและน้ำหนักเท่าใดไม่ปรากฏชัด โดยจำเลยยังต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงาน ด้วย เหตุเกิดที่แขวงท่าแร้ง เขตบางเขน กทม. ชั้นพิจารณาจำเลยให้การรับสารภาพข้อหาตาม พ.ร.บ.อาวุธปืน โดยวันนี้ “เสก โลโซ” ได้เดินทางมาศาล พร้อมแฟนสาว อภิสยา พัฒนวรทรัพย์ หรือ อีฟ
ศาลพิเคราะห์พยานหลักฐานของอัยการแล้ว มีนายตำรวจเบิกความยืนยันถึงขั้นตอนขอออกหมายค้น และการแสดงหมายค้นของศาลจังหวัดมีนบุรี กับหมายจับคดีอาวุธปืนของศาลจังหวัดนครศรีธรรมราชแล้ว แต่จำเลยซุกตัวภายในบ้านพร้อมกับถืออาวุธปืนที่พร้อมยิงตลอดเวลาโดยไม่ยอมออกมาพบตำรวจอย่างง่ายดาย และผลการตรวจปัสสาวะยังพบว่าปัสสาวะของจำเลยมีสารเสพติดด้วยด้วยวิธีเสพ ไม่ใช่การใช้ยาทั่วไปที่มีสารเสพติดผสม จึงพิพากษาว่าการกระทำของจำเลยเป็นความผิดทั้ง 3 ข้อหา ให้จำคุก ตาม พ.ร.บ.อาวุธปืน 1 ปี รับสารภาพลดโทษเหลือ 6 เดือน , ฐานต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงานที่ปฏิบัติหน้าที่โดยขู่เข็ญว่าจะประทุษร้ายโดยมีอาวุธปืน ให้จำคุก 1 ปี 6 เดือน และฐานเสพยาเสพติด จำคุกอีก 6 เดือน รวมจำคุกคดีนี้ทั้งสิ้น เป็น 1 ปี 18 เดือน และให้บวกโทษของศาลอาญาคดีทำร้ายร่างกายสาวคนสนิทอดีตภรรยาอีก 1 ปี 3 เดือน เป็นจำคุกจำเลยทั้งสิ้น 2 ปี 21 เดือน และให้นับโทษจำเลยต่อจากคดี พ.ร.บ.อาวุธปืน ของศาลจังหวัดนครศรีธรรมราชด้วย
ศาลพิเคราะห์พฤติการณ์แห่งคดีแล้ว เห็นว่า การกระทำของจำเลยนั้นไม่เกรงกลัวต่อกฎหมาย ซึ่งศาลเคยให้โอกาสกลับตัวเป็นคนดีในการรอลงอาญาคดีอื่นไว้แล้วแต่จำเลยยังมากระทำผิดซ้ำในช่วงเวลารอลงอาญาอีก จึงไม่สมควรให้รอลงอาญา ส่วนที่จำเลยอ้างว่าเป็นโรคไบโพลาร์ ศาลพิเคราะห์แล้วว่าจำเลยกระทำความผิดในขณะที่รู้สึกตัว รู้สึกผิดชอบ จึงไม่ลดเว้นโทษในข้อนี้
ขอบคุณเฟซบุ๊ก : SEK LOSO