ออกมาแถลงข่าวต่อหน้าสื่อมวลชนแล้วสำหรับ "ทิม-พิธา ลิ้มเจริญรัตน์" สามี นักแสดงสาว "ต่าย-ชุติมา ลิ้มเจริญรัตน์" หรือ ‘ต่าย ซีซั่นเชนจ์’ โดยก่อนหน้านี้เป็นที่ทราบกันว่าทั้งสองกำลังมีปัญหากันในครอบครัว และมาเกิดเรื่องที่สาว "ต่าย" ได้มีการนัดเจอเพื่อรับลูกสาวจากสามี แต่รอเท่าไหร่สามีก็ไม่พาลูกมาส่งตามที่ตกลงกันไว้ งานนี้ทางฝ่ายทิม พิธา ได้ออกมาเปิดใจถึงเรื่องนี้ว่า
ผมไม่นึกเลยว่าวันนี้จะต้องออกมาพูดกับพี่ๆด้วยรอยยิ้มที่ฝืนและหัวใจที่หนักอึ้ง ผมไม่ได้เป็นบุคคลสาธารณะแต่อย่างใด ครั้งสุดท้ายก็ตอนแต่งงาน สาเหตุที่ออกมาพูดในวันนี้เป็นเพราะความรักของเรามาถึงทางตัน ซึ่งก็เป็นระยะเวลาประมาณ 13-14 เดือนแล้ว ผมยอมรับว่าตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาผมก็พยายามประคับประคองตลอด ทั้งจากการพูดคุยกันเอง หรือให้ผู้ใหญ่ช่วย ให้ผู้เชี่ยวชาญมาพูด แต่สุดท้ายความรักของเราก็ต้องยุติลง เพียงแต่เรายังคงเป็นสามีภรรยากันอยู่ เพราะยังไม่ได้มีการเซ็นใบหย่า แม้บทบาทการเป็นสามีภรรยาจะไม่ได้ไปต่อ แต่เราก็ยังคงเป็นพ่อและแม่ของลูก
ถามว่าเขายังมีสิทธิเลี้ยงลูกไหม ถ้าตามเอกสารผมมีสิทธิ์ แต่เขาอาจจะแปลเอกสารนี้อีกแบบนึง ต้องแยกกันนะครับว่าสิทธิการดูแลลูกกับทะเบียนสมรสคนละเรื่องกัน เราก็พยายามเคลียร์กันแต่อย่าเอาลูกมาอยู่ในความขัดแย้งนี้ก่อน
เรื่องกีดกันไม่ให้เจอลูกนั้น ถ้าจะกีดกันคงทำตั้งนานแล้วนี่มันผ่านมากี่เดือนแล้วครับ
สำหรับพิพิม สิ่งที่เป็นสิทธิของเขาผมก็ไม่สามารถอธิบายแทนเขาได้ว่า สิ่งที่เกิดขึ้นกับพ่อแม่ส่งผลกระทบมากน้อยแก่เขาเพียงใด ผมเป็นห่วงลูกมากที่สุด แต่เราก็ต้องยอมรับว่าพิพิมได้รับผลกระทบพอสมควร อาจจะมีทั้งความเครียด ความสับสน ดังนั้นในฐานะพ่อผมก็ควรที่จะออกมาปกป้องลูก โดยที่เขาจะได้ไม่ต้องมารับกรรมที่เกิดจากพ่อแม่ ผมก็เลยตัดสินใจฟ้องหย่าเมื่อเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา เพราะมันมีความจำเป็นจริงๆ ตามคำแนะนำของแพทย์ในการปกป้องลูก และขอรับสิทธิ์ในการเลี้ยงดูบุตร
กระทั่งมีการไต่สวนเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา โดยศาลตัดสินให้มีการหย่าขาด และให้สิทธิผมเลี้ยงดูบุตรแต่เพียงผู้เดียว แต่ก็อย่างที่ผมบอกจนถึงตอนนี้เราก็ยังไม่ได้มีการเซ็นใบหย่า
ผมขอพูดตรงนี้เลยว่าผมไม่ได้กีดกัน เพราะผมก็อยากให้แม่เป็นส่วนหนึ่งในการเติบโตของพิพิม แต่ในเมื่อเราทั้งคู่ไม่สามารถกำหนดการเลี้ยงดูลูกให้มีเสถียรภาพได้ ผมก็เลยต้องตัดสินใจรีสตาร์ต นับจากนี้ก็จะให้ยึดการตัดสินใจของลูกเป็นหลักถ้าเขาอยากไปอยู่ที่ไหนก็ให้เขาได้อยู่ที่นั่น
ส่วนเรื่องการวางแผนการเลี้ยงลูกนั้นเราต้องวางแผนคู่กับเขาครับ ผมว่าคุณแม่เป็นส่วนสำคัญในชีวิตพิพิม ยังไงเขาก็ต้องมีส่วนในชีวิตพิพิม แต่ตามหลักจิตวิทยาต้องทีผู้ปกครองหลักและผู้ปกครองรอง การที่คุณบอกว่า50:50มันดีใช่ไหมครับ ถ้าตกลงกันได้มันคงไม่ต้องหย่าตั้งแต่แรก มันก็เลยต้องหาใครที่ทำให้เกิดเสถียรภาพมากขึ้นและอีกคนเข้ามาช่วย ถ้าเป็นอย่างนั้นได้ผมจะมีความสุขมากๆและยังยินดีที่จะเป็นเพื่อนกับเขาอยู่ ดูแลลูกด้วยกัน แต่ชีวิตผมก็ต้องดำเนินต่อไป แต่ถ้าจะให้ผมเลี้ยงเดี่ยวก็ไม่มีปัญหา
ถามว่ายังรักต่ายอยู่ไหมมันคงเป็นความหวังดีที่มีต่อกัน บทบาทสามีภรรยาคงยุติจริงๆความรักมีหลายแบบ ไม่ได้มีแค่ในเชิงโรแมนติก ครอบครัวผมก็เป็นเหมือนครอบครัวทั่วไป แต่เราก็ยังคงมีความยินดีที่จะเป็นเพื่อนเป็นฝูงกันต่อไป ครอบครัวผมมันก็ไม่ต่างไปจากครอบครัวคนอื่น เวลามีปัญหาตอนแรกมันก็ตกลงกันไม่ได้ คือพอมันไปถึงทางตันไปต่อกันไม่ได้ก็ต้องถอยมาคนละก้าว แต่ก็ยังมีความยินดีที่จะเป็นเพื่อนฝูงกัน คอยช่วยเหลือซึ่งกันและกัน แต่คงเป็นไปไม่ได้ที่จะกลับมาเป็นสามีภรรยากันอีก
คิดไหมว่าการออกมาพูดครั้งนี้มันจะจบไหม ผมคิดก่อนจะว่าว่าอันนี้เป็นเรื่องใหญ่หรือเรื่องเล็ก เป็นเรื่องภายในหรือภายนอก ผมไม่ได้ต้องการที่จะมาแก้ตัวหรือเป็นเงื่อนไขหรือชนวนความขัดแย้งมากขึ้นไปอีก ถ้าผมต้องการแก้ตัวผมทำไปนานแล้ว นี่ก็ผ่านมากลายเดือนแล้ว หนีเต็มที่แล้ว เด็กก็มีสิทธิ์ที่จะอยู่อย่างผาสุข ไม่ต้องมาเป็นส่วนหนึ่งของความขัดแย้ง เพราะมันไม่ใช่เรื่องของเขา มันเป็นเรื่องของผู้ใหญ่ ให้ผู้ใหญ่แก้ปัญหากันไป อย่างเรื่องส่วนตัวผมก็ไม่พูด
อยากนัดมาเคลียร์ให้จบไหม อันนี้ก็ต้องทั้งสองฝ่าย แต่ความอดทนมันต้องมีครับ
อย่างเรื่องที่เมื่อวานไม่ให้ไปงานดิสนีย์เพราะผมไม่อยากให้นักข่าวมารุมลูกสาวครับ ก็ตรรกะแบบนี้ ตารางชีวิตแบบนี้ บางทีผมก็ผิดนัดผู้ใหญ่เหมือนกัน และการขอโทษผู้ใหญ่ก็สำคัญเช่นเดียวกัน ถ้ามันเป็นเรื่องคุณกับผมๆโอเค แต่นี่มันมีบุคคลที่3 บุคคลที่4
ถ้าตกลงกันไม่ได้ก็ต้องเป็นไปตามกระบวนการศาลอยู่แล้วครับ คนเป็นสามีภรรยากันถ้ามันไม่สุดจริงๆก็คงไม่ต้องไปพึ่งศาล ก็พยายามหาวิธีคุยแต่มันก็ต้องอยู่ในเงื่อนไขที่เหมาะสม
ถ้าเขาดูอยู่อยากบอกอะไร ก็ไม่ต่างจากแมสเสจที่บอกเขาไป ที่ว่ามานั่งคุยกันเถอะสองคน นึกถึงตอนที่เริ่มรักกันใหม่ๆก็ได้ เขาก็มีข้อดีอยู่บ้างเราก็มองในมุมนั้น ลองพูดคุยอีกสักครั้ง มันเป็นเรื่องครอบครัวของเราสองคน มาพูดคุยว่ามันจะมีเสถียรภาพต่อไปอย่างไร มันก็น่าจะทำได้อยู่ อย่างที่สื่อสารกับเขาไป เราทำได้ดีกว่านี้ เราแก้ปัญหาได้ดีกว่านี้ ที่ผ่านมาก็ไม่มีคำแก้ตัวใดที่ทำไม่ดี ในฐานะพ่อแม่ของลูกก็อยากทำได้ดีกว่านี้ จุดยืนคือความมั่นคงทางอารมณ์ของลูกเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด อะไรที่เป็นปัญหาของลูกคงยอมให้ไม่ได้
เรื่องโรงเรียนของลูก ผมก็อยากจะให้ลูกได้เรียนโรงเรียนใกล้บ้าน จนได้โรงเรียนนานาชาติย่านสุขุมวิท ซึ่งน้องพิพิมเขาก็ค่อนข้างชอบ เราก็เลยสมัครเรียนให้ลูกไปตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน จ่ายเงินไปหมดแล้ว และลูกกำลังจะเข้าเรียนแล้ว แต่กลายเป็นว่าเมื่อเดือนกุมภาพันธ์คุณต่ายเขาก็ได้ไปสมัครเรียนให้กับลูกในอีกโรงเรียนหนึ่งใกล้บ้านเขา มันเลยกลายเป็นเรื่องที่เราต้องมาคุยกันให้รู้เรื่อง เราไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้แล้ว เพราะจะปล่อยให้ลูกไปเรียนทั้ง 2 โรงเรียนไม่ได้สำหรับผมวิธีคิดในการแก้ปัญหาของเราคือ เราควรคุยกันแค่สองคนโดยให้เอากองเชียร์ออก และอย่าเอาลูกเข้ามาอยู่ในความขัดแย้ง
จริงๆ เรื่องข่าวและพฤติกรรมที่เคยตกเป็นข่าว เป็นหนึ่งในสาเหตุด้วยไหมที่เราตัดสินใจหย่า ผมไม่ขอลงรายละเอียดและไม่พาดพิงถึงบุคคลที่สามครับ ไม่เหมาะ