เมื่อ "ธันวา" สารภาพว่าเป็นเพศที่ 3 คนเป็นแม่จะรับมืออย่างไร ?

2019-04-19 09:55:24

เมื่อ "ธันวา" สารภาพว่าเป็นเพศที่ 3 คนเป็นแม่จะรับมืออย่างไร ?

Advertisement

ความจริงที่พ่อแม่และคนรอบข้างต้องรู้ ... ปัจจุบันนี้ยังมีวัยรุ่นอีกมากที่ไม่เป็นที่ยอมรับจากครอบครัวเพียงเพราะรสนิยมทางเพศที่แตกต่าง และต้องทนทุกข์กับตัวตนที่ไม่สามารถเปิดเผยให้ใครรับรู้ได้ แต่ซีรีส์เรื่องนี้อาจทำให้ความคิดของคนที่ยังไม่เปิดใจรับเรื่องความต่างของรสนิยมทางเพศต้องเปลี่ยนไปและอบอุ่นหัวใจไปพร้อมๆ กัน ใน "เขามาเชงเม้งข้างๆ หลุมผมครับ" ซีรีส์ที่อุดมไปด้วยความเจ็บปวด เมื่อตัวเอกของเรื่องพยายามทำใจยอมรับว่าตัวเองเป็นเกย์ การฟันฝ่าความกลัวครั้งยิ่งใหญ่เมื่อต้องสารภาพกับครอบครัวเรื่องเพศสภาพของตน ไปจนถึงการถูกบูลลี่จากคนใกล้ตัว ... เจ็บปวดที่สุดแต่กลับเป็นความเจ็บปวดที่แสนงดงาม



"ธันวา" (โอม ภวัต จิตต์สว่างดี) เด็กหนุ่มที่ภายนอกดูสดใสร่าเริง แข็งแกร่งเป็นนักกีฬา แต่กลับแฝงความเครียดและความกดดันอยู่ลึกๆ ข้างในจิตใจ อยู่มาวันหนึ่งที่ปัญหามากมายเข้าถาโถม ทำให้ชีวิตของธันวามาถึงทางแยกอย่างไม่ตั้งใจ เขาเตรียมใจอยู่นานเพื่อสารภาพกับแม่ถึงรสนิยมทางเพศ เขาร้องไห้ออกมาอย่างที่ไม่เคยร้องมาก่อน และบอกกับแม่ด้วยเสียงสะอื้นไห้ว่าเขาไม่ได้ชอบผู้หญิงเหมือนผู้ชายคนอื่นๆ แต่ในความคิดหนึ่งธันวาก็ตระหนักถึงผลที่ตามมาว่ามันอาจไม่เป็นตามที่หวัง ธันวากล่าวขอโทษผู้เป็นแม่ซ้ำไปซ้ำมา แต่สิ่งที่แม่พูดตอบกับธันนั้น ทำให้กำแพงหนาที่กั้นกลางระหว่างสายใยแม่ลูกพังครืนลงมาในทันที ...






ซึ่งเป็นโชคดีที่แม่ของธันตอบรับคำสารภาพของลูกในด้านดี เธอใช้คำพูดที่อ่อนโยนบอกกับลูกชายคนเดียวอย่างเข้าใจว่า "ลูกไม่ต้องขอโทษแม่ ลูกไม่ต้องกลัว ลูกไม่ได้ทำอะไรผิด ยังไงแม่ก็รักไม่ว่าลูกจะเป็นอะไร จะชอบอะไร ธันก็ยังเป็นธันคนเดิมของแม่ใช่มั้ยลูก การชอบผู้ชายไม่ใช่เรื่องผิด ขอให้ลูกมีความสุขก็พอ ธันเก่งมากที่กล้าพูดกับแม่เรื่องนี้" ในความรู้สึกของคนดูละครแล้วมันคือความเข้าใจแบบโคตรเข้าใจ ที่คนในครอบครัวเปิดใจรับในสิ่งที่ลูกเป็น 





บทละครสามารถเชื่อมต่อตัวละครเข้าหากันทำให้นักแสดงเข้าถึงบทได้ดีมากๆ "โอม ภวัต จิตต์สว่างดี" ผู้สวมบท "ธันวา" กับ "พี่ทราย เจริญปุระ" ที่รับบทแม่ สองนักแสดงถ่ายทอดความสัมพันธ์แม่ลูกออกมาดีมากๆ ทุกอย่างครบ ทำให้น้ำตาไหลตามได้ไม่ยากเลย อบอุ่นหัวใจจริงๆ โดยปกติแล้ว ซีรีส์แต่ละเรื่องที่ผ่านมาจะมีบางอีพีเท่านั้นที่ดีที่สุด แต่กับเรื่องนี้ตั้งแต่อีพีแรกมาจนจวนจะถึงบทสุดท้ายแล้วก็ยังดีไม่หยุด นักแสดงสมทบก็ยิ่งเล่นได้ดีทุกคน ส่งอารมณ์ถึงคนดูได้ครบรส ซึ่งซีรีส์เรื่องอื่นๆ ที่ต้องการทำละครแนวบอยเลิฟสะท้อนสังคมควรเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นกรณีศึกษาอย่างยิ่ง





ทุกวันนี้เป็นเรื่องไม่ยากที่จะได้พบเจอบุคคลที่มีความหลากหลายทางเพศ หรือเพศที่สาม ไม่ว่าจะเป็นคนที่เรียกกันด้วยภาษาปากว่าเกย์ ทอม เลสเบี้ยน หรือไบฯ ซึ่งประเทศไทยถือเป็นหนึ่งในประเทศซึ่งได้รับการชื่นชมว่าค่อนข้างเปิดกว้างในเรื่องการแสดงออกทางเพศสภาพ อย่างไรก็ดี มีหลายครอบครัวที่ยังยืนยันว่าคงยอมรับไม่ได้หรือทำตัวไม่ถูกหากลูกของตนเองเป็นเพศที่สาม



วันนี้ ทีมข่าวสกู๊ปพิเศษ นิว 18 เลยขอชวนคุณพ่อคุณแม่มาทำความเข้าใจเรื่องความหลากหลายทางเพศ พร้อมเสนอวิธีเตรียมใจและรับมือเมื่อลูกของเราเป็นเพศที่สามมาฝากกัน

ผู้ที่มีความหลากหลายทางเพศ หรือเพศที่สามคืออะไรกันแน่ ?


ในสมัยก่อน โดยเฉพาะคนยุคพ่อแม่หรือปู่ย่าตายายเรา น่าจะคุ้นชินกันการเรียก “เพศที่สาม” ที่ไม่ใช่ผู้ชายหรือผู้หญิงแท้ ว่าตุ๊ด กะเทย สาวประเภทสอง หรือทอม-ดี้ แต่ในปัจจุบันนี้ เริ่มเป็นที่เข้าใจกันมากขึ้นว่าเรื่องเพศเป็นสิ่งที่ลื่นไหลได้ (Fluid) จึงมักใช้คำเรียกแบบรวมๆ ว่าคนที่มีความหลากหลายทางเพศหรือ LGBTQ ซึ่งสามารถแตกออกได้เป็น

Lesbian : เลสเบี้ยน หรือหญิงรักหญิง

Gay : เกย์ หรือชายรักชาย

Bisexual : ไบเซ็กชวล หรือรักร่วมสองเพศ



Transgender : ทรานส์เจนเดอร์ หรือคนข้ามเพศ

Queer หรือ Questioning : เควียร์ หรือเพศไร้กรอบ



โดยเพศที่สามยังสามารถจำแนกได้อีกว่าเป็นอัตลักษณ์ทางเพศ (Gender Identity) ซึ่งคือความรู้สึกที่ว่าตัวเองเป็นเพศไหน อาจเหมือนหรือต่างกับเพศกำเนิดที่ตนเกิดมาก็ได้และเพศวิถี (Sexual Orientation) ซึ่งเป็นรสนิยมทางเพศทั้งในแง่ของแรงดึงดูดทางร่างกายและทางใจ

ทำไมลูกเบี่ยงเบนหรือข้ามเพศ ?
มีการศึกษาอย่างต่อเนื่องเพื่อหาคำตอบว่าเหตุผลอะไรทำให้คนคนหนึ่งมีความหลากหลายทางเพศ (หรือภาษาปากว่า “เบี่ยงเบนทางเพศ” ที่เป็นคำกล่าวที่ไม่เหมาะสมนัก) ซึ่งปัจจุบันก็ยังไม่พบสาเหตุชี้ชัดว่าเพราะอะไร แต่คาดว่ามีผลมาจากทั้งทางพันธุกรรมกำหนดตั้งแต่ที่เด็กอยู่ในครรภ์ (Nature) หรือการเลี้ยงดู (Nurture) เช่น ระหว่างตั้งครรภ์แม่มีฮอร์โมนเพศไม่สมดุล หรือเด็กโตมาในครอบครัวที่พ่อก้าวร้าวจึงไม่อยากเป็นผู้ชาย เป็นต้น

ในทางการแพทย์ไม่ได้มองว่าเพศที่สามเป็นโรค เป็นอาการป่วยทางจิต หรือเป็นความผิดปกติที่ต้องได้รับการรักษา แถมยังไม่ใช่ “ทางเลือก” อีกด้วย และถึงแม้ในอดีตจะมีการใช้หลักวิทยาศาสตร์หรือเทคนิคบำบัดเพื่อพยายามแก้ไข แต่ก็ไม่พบว่าสามารถรักษาหรือเปลี่ยนแปลงความหลากหลายทางเพศได้ ทุกวันนี้ จึงไม่มีการใช้วิธีบังคับหรือชักจูงให้คนเปลี่ยนรสนิยมทางเพศหรืออัตลักษณ์ทางเพศอีกแล้ว



จะรับมืออย่างไรเมื่อลูกมาสารภาพว่าเป็นเพศที่สาม ?
การปิดบังตัวตนและการไม่ได้รับความยอมรับจากคนรอบข้าง จะส่งผลเสียทั้งทางสุขภาพกายและสุขภาพจิตต่อเพศที่สาม โดยเฉพาะในเด็กและวัยรุ่นที่พบว่ามักถูกแกล้ง เสี่ยงต่อโรคซึมเศร้า โรคเครียด การใช้สารเสพติด การทำร้ายตัวเอง และพฤติกรรมเสี่ยงทางเพศ ดังนั้น จึงเป็นหน้าที่ของพ่อแม่ที่ต้องให้ความยอมรับ ความเข้าใจ และความรักอย่างไร้เงื่อนไขเพื่อช่วยเป็นแรงใจให้ลูกของเรามั่นใจในอัตลักษณ์ของตัวเองและแน่ใจว่าไม่ว่าเค้าจะมีเพศไหน พ่อแม่จะรักและคอยอยู่เคียงข้างเค้าเสมอ

ลองใช้แนวคิดและวิธีปฏิบัติที่เรารวบรวมมาวันนี้ คุณพ่อคุณแม่จะสามารถก้าวข้าวผ่านความผิดหวัง พร้อมยื่นมือไปช่วยลูกรักของเราได้ดียิ่งขึ้น

1. ไม่ดุด่าหรือทำโทษลูก
รับฟังคำสารภาพของลูกอย่างใจเย็น ไม่ดุด่า ต่อว่า หรือลงโทษ อย่าลืมว่าลูกต้องเก็บความลับนี้มานานแค่ไหน หากเป็นไปได้ให้เข้าไปกอดลูกแล้วบอกขอบคุณที่ตัดสินใจมาบอกความจริง เพื่อทำให้ลูกมั่นใจว่าคุณรักเค้าอย่างไม่มีเงื่อนไข อย่างไรก็ดี เป็นเรื่องปกติที่ผู้ปกครองหลายบ้านอาจต้องใช้เวลาเพื่อทำการยอมรับมากกว่าบ้านอื่น พ่อแม่อย่าลืมให้เวลาตัวเองและทำความเข้าใจ ขอแค่อธิบายให้ลูกฟังว่าเราขอเวลาสักหน่อยและไม่ทอดทิ้งเค้าในระหว่างนั้นก็พอ 



2. ไม่โทษตัวเอง
ถึงการคิดหาเหตุผลจะเป็นหนึ่งในวิธีรับมือปัญหาของมนุษย์ แต่การคิดวนไปวนมาเพื่อหาว่าทำไมลูกเราถึงเป็นเพศที่สาม การโทษตัวเองว่าเป็นเพราะเราเลี้ยงดูลูกไม่ดี มองว่าลูกมีเวรกรรม หรือแม้แต่เอ่ยปากถามลูกว่า “พ่อกับแม่ทำอะไรผิด?” “ทำไมลูกถึงเป็นแบบนี้?” จะไม่เกิดประโยชน์กับใครเลย แถมยังทำให้เสียเวลาที่ทั้งฝ่ายคุณและลูกจะได้ก้าวข้ามไปสู่การยอมรับตัวตนอีกต่างหาก

3. ไม่หาทาง “รักษา” ลูก
อย่างที่เราได้อธิบายไปข้างต้น การเป็นเพศที่สามไม่ใช่สิ่งที่เราเลือกได้ ทั้งยังไม่ใช่ความผิดปกติที่ต้องได้รับการรักษา มีน้อยครั้งมากที่เด็กจะเปลี่ยนตัวเองกลับไปเป็นเพศหญิงหรือชายแท้ได้ (ซึ่งมักเป็นกรณีที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงเพศด้วยสถานการณ์ เช่น เด็กในโรงเรียนหญิงล้วนชอบรุ่นพี่ทอม เป็นต้น)

ปล่อยให้ลูกเติบโตและค้นหาตัวเองอย่างเหมาะสม อย่าพยายามเปลี่ยนลูกด้วยการบังคับให้ใส่กระโปรง บังคับให้เล่นกีฬา หรือส่งไปบวช เพราะนอกจากจะไม่ได้ผลแล้ว ยังสร้างรอยแผลอย่างถาวรแก่เด็กที่จะเชื่อว่าตนมีความผิดหรือต้องปิดบังความเป็นตัวเองไปตลอดชีวิต



4. ไม่ต้องกังวลแทนลูก
อีกหนึ่งประเด็นที่ทำให้พ่อแม่ยอมรับไม่ได้เมื่อลูกมาสารภาพว่าเป็นเพศที่สาม ก็คือความกลัวหรือกังวลใจถึงอนาคตของลูก เช่น กลัวว่าลูกจะไม่ได้แต่งงานมีครอบครัว กลัวว่าลูกจะถูกล้อเลียนหรือกีดกัน หรือกระทั่งกลัวว่าลูกจะเป็นเอดส์

ไม่ว่าลูกจะเป็นเพศชาย หญิง หรือเพศที่สาม ย่อมต้องเผชิญปัญหาหรืออุปสรรคในชีวิตเป็นธรรมดา พ่อแม่จึงควรโยนความกังวลล่วงหน้าเหล่านั้นทิ้งไปเสีย และโฟกัสที่การเป็นโค้ชเพื่อช่วยลูกรับมือกับปัญหาที่เกิดเป็นเรื่องๆ ไปดีกว่า อย่ามัวแต่มองถึงผลเสียของการมีลูกเป็นเพศที่สาม ทุกวันนี้คุณพ่อคุณแม่ก็สามารถมองเห็นว่ามีคนที่ไม่ใช่หญิงแท้หรือชายแท้ที่ประสบความสำเร็จทางการเรียน หน้าที่การงาน และหลายคู่ก็สร้างครอบครัวที่สมบูรณ์และน่ารักได้เช่นกัน

5. ไม่กลัวที่จะเติบโตไปพร้อมกัน
หาข้อมูลเพิ่มเติมเพื่อทำความเข้าใจกับลูกของเรามากขึ้น และอย่าลืมว่าเพศสภาพมีความยืดหยุ่นมาก จึงควรหาโอกาสคุยอย่างเปิดอกกับลูกเพื่อทำความเข้าใจให้ตรงกัน เช่น เด็กบางบ้านอาจอยากแต่งตัวข้ามเพศ ในขณะที่เด็กบางคนอาจแค่ชอบเพศเดียวกันเฉยๆ

อีกหนึ่งภาพจำที่พ่อแม่ควรลบทิ้งไปก็คือเรื่องเพศสัมพันธ์ เพราะการเป็นเพศที่สามไม่ได้หมายความถึงรสนิยมทางการมีเพศสัมพันธ์เพียงอย่างเดียว เมื่อมองข้ามเรื่องนี้ได้ พ่อแม่อาจจะทิ้งความรู้สึกแปลกแยกจากลูกของตัวเองไปได้ อย่างไรก็ดี ก็ยังถือเป็นหน้าที่ของผู้ปกครองที่ควรสอนเรื่องเพศศึกษาอย่างถูกต้องกับลูก โดยเฉพาะในเรื่องการมีเพศสัมพันธ์อย่างปลอดภัย



6. ไม่ปฏิเสธตัวช่วย
ปัจจุบันมีหน่วยงานหลากหลายที่พร้อมให้คำปรึกษาและแนะนำทั้งในด้านจิตวิทยาและในทางการแพทย์กับผู้มีความหลากหลายทางเพศและครอบครัว ซึ่งพ่อแม่สามารถเข้าไปหาข้อมูลเพิ่มเติมได้

ทั้งนี้ แพทย์หญิงจิราภรณ์ อรุณากูร กุมารแพทย์ด้านเวชศาสตร์วัยรุ่น โรงพยาบาลรามาธิบดีได้กล่าวไว้ว่า “พ่อแม่ก็เหมือนคนปลูกต้นไม้” คือเรามีหน้าที่เพียงรดน้ำพรวนดิน แต่หน้าที่การเจริญเติบโตนั้นเป็นของเมล็ดพันธุ์ ซึ่งเป็นแนวคิดที่ใช้ได้ทั้งกับการรับมือเมื่อลูกเป็นเพศที่สาม และการเลี้ยงเด็กในทุกๆ วัน เพราะเมื่อคิดได้แบบนี้เมื่อไหร่ พ่อแม่ก็จะรู้สึกโล่งจากภาระที่แบกรับเอาไว้ในทันที ขอแค่เราดูแลลูกด้วยความรัก ความเข้าใจ และยอมรับในตัวตนของเค้า ไม่ว่าลูกเป็นเพศไหนก็จะเติบโตมาด้วยความมั่นใจ มีภูมิต้านทานต่อโลกภายนอก และมีความสุขเนื่องจากได้เป็นตัวเองอย่างแน่นอน



"เขามาเชงเม้งข้างๆ หลุมผมครับ" เป็นเรื่องราวความรัก 2 โลกของคนและวิญญาณเกิดขึ้นและเติบโตไปพร้อมกับการค้นหาปริศนาการตายอย่างมีเงื่อนงำ แม้จะแตกต่างกันแค่ไหน แต่เมื่อมีความรัก...ทุกอย่างก็มีคำตอบในตัวของมันเอง

ขอขอบคุณข้อมูล จาก lgbtthai.com