ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐ กลายเป็นประธานาธิบดีคนที่ 3 ในประวัติศาสตร์ของประเทศ ที่ถูกสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร หรือสภาล่าง ลงมติอิมพีชเมนต์ หรือถอดถอนออกจากตำแหน่ง ซึ่งก็จะต้องส่งต่อไปให้วุฒิสภา หรือสภาสูง พิจารณาชี้ชะตาว่าจะได้อยู่ในตำแหน่งต่อหรือไม่ โดยสภาผู้แทนลงมติผ่าน 2 ข้อหา คือประธานาธิบดีทรัมป์ ใช้อำนาจหน้าที่ในทางมิชอบ และทำตัวเป็นอุปสรรคขัดขวางการปฏิบัติหน้าที่ของรัฐสภา โดยข้อหาแรกผ่านความเห็นชอบด้วยคะแนน 230-197 เสียง ส่วนข้อหาที่ 2 229-198 เสียง
วุฒิสภา มีพรรครีพับลิกันของทรัมป์ ครองเสียงข้างมาก เพราะฉะนั้นจึงแทบเป็นไปได้ที่ทรัมป์จะถูกถอดถอนออกจากอำนาจ โดยคาดว่าวุฒิสภาจะเริ่มพิจารณาญัตติถอดถอนนี้ในเดือนมกราคมปีหน้า นายมิตช์ แมคคอนเนลล์ แกนนำเสียงข้างมากของพรรครีพับลิกันในวุฒิสภา วางกำหนดการไต่สวนไว้ในเบื้องต้นคือภายในกลางเดือนมกราคมนี้ และประกาศว่า "เป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอน" ที่วุฒิสภาจะมีมติถึง 2 ใน 3 คือ 67 จาก 100 เสียง ให้ถอดถอนทรัมป์ออกจากตำแหน่ง
ที่ผ่านมาไม่มีประธานาธิบดีสหรัฐคนใดในประวัติศาสตร์ 243 ปีของประเทศ ถูกถอดถอนออกจากตำแหน่ง ซึ่งการถอดถอน ต้องใช้มติเสียงข้างมาก 2 ใน 3 ของวุฒิสภาดังกล่าว นั่นก็หมายความว่า ต้องมีสมาชิกพรรครีพับลิกันอย่างน้อย 20 คน “กลายร่างเป็นงูเห่า” เข้าร่วมกับพรรคเดโมแครตในการลงมติขับทรัมป์ ซึ่งก็ยังไม่มีใครแสดงเจตจำนงแบบนี้
ขณะที่มีการลงมติกันในสภาผู้แทนราษฎรอยู่นี้ ทรัมป์กล่าวปราศรัยต่อฝูงชนผู้สนับสนุนระหว่างยการรณรงค์หาเสียงในเมืองแบตเทิลครีก รัฐมิชิแกน เขากล่าวต่อฝูงชนว่า ขณะที่พวกเรากำลังสร้างงานและต่อสู้เพื่อรัฐมิชิแกน พวกฝ่ายซ้ายหัวรุนแรงในสภาคองเกรส กลับเต็มไปด้วยความอิจฉาและเกลียดชังและโกรธแค้น คุณเห็นว่ากำลังเกิดอะไรขึ้น
ทำเนียบขาวเปิดเผยแถลงการณ์ฉบับหนึ่ง ระบุว่า ประธานาธิบดีมั่นใจว่า เขาจะพ้นจากข้อกล่าวหาในการพิจารณาของวุฒิสภา
หลังการมีการอภิปรายกันยาวนาน 10 ชั่วโมงเกี่ยวกับข้อกล่าวหาอิมพีชเมนต์ทั้ง 2 ข้อต่อทรัมป์ สภาผู้แทนฯก็ทำการโหวตในเวลาประมาณ 20.30 น.ของวันพุธตามเวลาท้องถิ่น หรือตรงกับ 08.30 น.ของวันพฤหัสบดีตามเวลาในไทย
สำหรับข้อกล่าวหาใช้อำนาจโดยมิชอบนั้น เกี่ยวข้องกับกรณีที่ ทรัมป์ ไปกดดันประธานาธิบดี โวโลดิมีร์ เซเลนสกี ผู้นำยูเครน ให้ทำการสอบสวนหาความผิดของ โจ ไบเดน ผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีคู่แข่งของพรรคเดโมแครต รวมทั้งกรณีที่ทรัมป์ พยายามส่งเสริมทฤษฎีที่ขาดความน่าเชื่อถือว่าพรรคเดโมแครตสมคบคิดกับยูเครนแทรกแซงศึกเลือกตั้งเมื่อปี 2559 ไม่ใช่รัสเซีย
พรรคเดโมแครต บอกว่า ทรัมป์ นำงบสนับสนุนทางทหาร 391 ล้านดอลลาร์ที่สหรัฐฯ จะมอบให้ยูเครนเพื่อใช้ต่อต้านกบฏสนับสนุนรัสเซียมาเป็นข้อต่อรอง เพื่อกดดันรัฐบาลยูเครนให้ช่วยขุดคุ้ยหาความผิดของ ไบเดน และบุตรชายของเขา ซึ่งเคยเป็นบอร์ดบริหารบริษัทพลังงานบูริสมา (Burisma) ของยูเครน อันเป็นการกระทำที่เข้าข่ายแทรกแซงศึกเลือกตั้งปี 2563 โดยทรัมป์ออกมากล่าวหาโดยไร้หลักฐานว่าสองพ่อลูก ไบเดน มีพฤติกรรมทุจริต ขณะที่ผู้ถูกกล่าวหาทั้งสองยืนยันว่าไม่เป็นความจริง
ส่วนข้อหา ที่ 2 ขัดขวางการทำงานของสภาคองเกรสนั้นมาจากการที่ ทรัมป์ สั่งให้เจ้าหน้าที่ฝ่ายบริหารและหน่วยงานต่าง ๆ ปฏิเสธหมายเรียกเข้าให้การต่อสภาผู้แทนราษฎร หรือปฏิเสธส่งมอบเอกสารที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการถอดถอน
ทรัมป์เป็นประธานาธิบดีคนที่ 3 ในประวัติศาสตร์ของสหรัฐที่ถูกลงมติถอดถอนจากสภาผู้แทน ต่อจากประธานาธิบดีแอนดรูว์ จอห์นสัน และบิล คลินตัน
ทรัมป์ ซึ่งเตรียมลงสมัครรับเลือกตั้งประธานาธิบดีเป็นสมัยที่ 2 วาระ 4 ปี ในเดือนพฤศจิกายน ปีหน้า เขาเรียกความพยายามที่จะถอดถอนเขาออกจากตำแหน่งว่า เป็นความพยายามก่อรัฐประหารโดยพรรคเดโมแครต ที่ต้องการทำให้ชัยชนะในการเลือกตั้งประธานาธิบดีในปี 2559 ของเขาเป็นโมฆะ ทรัมป์ปฏิเสธการกระทำความผิด และเรียกการสอบสวนเพื่อถอดถอนเขา ซึ่งเริ่มต้นจากนางแนนซี เปโลซี ประธานสภาผู้แทนราษฎรของพรรคเดโมแครตในเดือนกันยายนที่ผ่านมาว่า “เป็นการล่าแม่มด”