การแพร่ระบาดระยะ 3 คือสิ่งที่ผู้คนไม่อยากให้เกิดขึ้นเป็นที่สุด เพราะแค่เห็นในต่างประเทศ อย่างจีน เกาหลีใต้ อิตาลี และอิหร่าน ล้วนชวนขวัญผวาพอแล้ว
ระยะ 3 จะเป็นช่วงของการแพร่กระจายไปทั่วภูมิภาค ยอดคนติดเขื้อ ยอดคนเข้ารักษา หรือแม้แต่เสียชีวิตจะพุ่งไม่หยุด
การติดต่อเดินทางกับต่างประเทศจะเข้มข้นจนอาจถึงขีดสุดต้องปิดประเทศก็อาจเป็นได้ หากมาตรการสกรีนนักเดินทางจากต่างประเทศ โดยเฉพาะจากประเทศสุ่มเสี่ยงไม่ได้ผล
ประเทศไทยจึงพยายามระมัดระวังอย่างเต็มที่ในช่วงที่ผ่านมา เพื่อยื้อและป้องกันไม่ให้สถานการณ์แพร่ระบาดมีมากเกินไปกว่าระยะที่ 2 ตั้งแต่ระบบคัดกรองหลายชั้นที่สนามบิน การกักตัวคนไทยจากอู๋ฮั่น การแถลงสถานการณ์แบบรายวันของกระทรวงสาธารณสุข หรือแม้แต่การยกหน้ากากอนามัยเป็นสินค้าควบคุม
แต่ประเมินจากสถานการณ์ปัจจุบัน ดูจากหลายปัจจัยและปรากฎการณ์ที่เกิดขึ้นแล้วน่าเป็นห่วงอย่างยิ่ง
จำนวนผู้ป่วยติดเชื้อเริ่มเพิ่มในอัตราสูงขึ้นเรื่อยๆ ล่าสุด (11 มีนาคม) วันเดียวพบถึง 6 ราย และบางรายในจำนวนนี้ ติดเชื้อโดยไม่ชัดแจ้ง คือไม่รู้ที่มาที่ไปหรือติดจากใครกลุ่มไหน สอดคล้องกับก่อนหน้านี้ ออสเตรเลียและอินเดียพบผู้คิดเขื้อเดินทางกลับจากประเทศไทย
นั่นหมายถึงน่าจะคนติดเชื้อในไทยแต่ยังไม่ได้ตรวจโควิด 19 และยังไม่ได้เข้ารักษาตัวในโรงพยาบาล ยังเดินเพ่นพ่านไปมาอยู่ข้างนอก ทำให้บางพื้นที่ธุรกิจต้องหยุดกิจการชั่วคราวเพื่อฉีดพ่นฆ่าเชื้อและทำความสะอาด
ขณะที่การกักตัว "ผีน้อย" และผู้เดินทางจากประเทศสุ่มเสี่ยง ซึ่งเป็นมาตรการเข้มข้นและสามารถยับยั้งการแพร่ระบาดของโควิด 19 อย่างได้ผล มท.1 ได้ประกาศยกเลิกและให้ส่งตัวไปกักเฝ้าอาการที่ภูมิลำเนาแทน ยิ่งเพิ่มความเสี่ยงสำหรับแพร่ระบาดกว่าเดิม เพราะจะไม่ได้ผล และหากติดเชื้อมาด้วย จะแพร่กระจายไปยังสมาชิกในบ้านและคนอื่นๆในบริเวณใกล้เคียงได้ง่าย
ขณะที่โฆษกรัฐบาล "ดร.แหม่ม" นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ กลับโพสต์ปฏิเสธเรื่องนี้ผ่านเฟซบุ๊ค ยืนยันยังไม่เลิกการกักตัวคนที่ต้องเฝ้าระวัง ยกตัวอย่างที่ฐานทัพเรือสัตหีบ
เท่ากับสะท้อนความไม่เป็นเอกภาพ และข้อมูลไม่ตรงกันของภาครัฐบาลด้วยกันเอง ยังไม่นับการตั้งศูนย์ติดตามโควิด 19 ที่ทำเนียบรัฐบาล โดยมีนายเทวัญ ลิปตพัลลภ รมต.สำนักนายกฯเป็น ผอ. ซ้ำซ้อนกับศูนย์ของกระทรวงสาธารณสุข ที่มีแถลงแบบรายวันอยู่ก่อนแล้ว
ส่วนกรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ ซึ่งกำลังตกเป็นเป้าใหญ่ โดยรุมวิพากษ์วิจารณ์ กรณีหน้ากากอนามัยขาดแคลน หาซื้อไม่ได้ แต่กลับมีไปโผล่ในเวบไซต์ขายของออนไลน์ และกลุ่มแก๊งกักตุกหน้ากากอนามัยที่เขื่อมโยงไปถึงคณะติดตามรัฐมนตรี โพสต์ขายเป็นล้านๆชิ้น ในราคาเกินกว่าที่กำหนด
ได้เปิดศึกกับทางกรมศุลกากร ถึงขั้นขู่แจ้งความโฆษกกรมศุลากร กรณีเปิดเผยตัวเลขส่งออกหน้ากากอนามัยช่วงเดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ 63 มีรวมกันถึง 330 ตัน เฉพาะเดือน ก.พ. มีมากถึง 150 ตัน ทั้งที่มีการประกาศเป็นสินค้าควบคุม และมีผลตั้งแต่ 5 กุมภาพันธ์ ซึ่งเป็นช่วงที่หน้าอนามัยกำลังขาดแคลนหนักในประเทศพอดี
แทนที่จะไปตรวจสอบไล่เรียงหาสาเหตุ มีหน้ากากอนามัยส่งออกมหาศาลได้อย่างไร หรือจากโรงงานไหน ทั้งที่ย้ำเองมาตลอดว่า มีส่งเจ้าหน้าที่กรมการค้าภายในฯ ไปประจำอยู่ที่โรงงานผลิตทั้ง 11 แห่ง
แม้ต่อมา กรมศุลฯ จะแถลงอ้างมีสินค้าอื่นรวมอยู่ด้วย แต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธว่าไม่มีหน้าอนามัยรวมอยู่ในรายการส่งออกในเดือนกุมภาพันธ์
ไม่เพียงเท่านั้น ยังมีศึกในจับคู่ฟัดกันทั้งในพรรคพลังประชารัฐ และภายในพรรคประชาธิปัตย์ เรื่องหน้ากากอนามัยที่ถูกกักตุนโดยบุคคลที่ใกล้ชิดรัฐมนตรีโดนโยงใยไปเกี่ยวพันด้วย ยิ่งทำให้คนไทยส่ายหน้าด้วยความมึนงงไปตามๆกัน ไม่รู้ว่าเล่นอะไรกันอยู่ และดูไม่ออกว่าเล่นกันจริงหรือเล่นพอเป็นพิธี หรือแค่ตามบทที่ได้รับ
แถมบางคน แทนที่จะไปตรวจสอบความไม่ชอบมาพากลเรื่องหน้ากากหาย เพื่อสร้างความกระจ่างให้กับประชาชน กลับไปยื่นเรื่องเล่นงาน "แหม่มโพธิ์ดำ" เพจที่เปิดเผยให้เห็นการ "รุมทึ้ง" ของฝูงแร้ง ที่อาศัยช่องทางและ "ใบเบิกทาง" แสวงหาผลประโยชน์ใส่ตัวเอง บนความทุกข์ยากของผู้คน
แล้วอย่างนี้ จะฝากผีฝากไข้ ในสถานการณ์ที่ย่ำแย่ โดยเฉพาะหากไทยต้องเข้าสู่ระยะ 3 รับมือโควิด 19 ได้อย่างไร
ใครรู้ ช่วยรุมแช่งทีครับ