รัฐฟลอริดาทำสถิติสูงสุด ผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 รายใหม่ เพิ่มอีก 15,299 คน ในช่วง 24 ชั่วโมงที่ผ่านมา หรือประมาณ 1 ใน 4 ของตัวเลขผู้ติดเชื้อรายวันทั่วสหรัฐ และเสียชีวิตรายใหม่ 45 คน โดยรัฐฟลอริดา ซึ่งมีประชากรเพียง 7 เปอร์เซ็นต์ของสหรัฐ ทำสถิติผู้ติดเชื้อรายวันสูงที่สุดแซงแคลิฟอร์เนียไปแล้ว
ฟลอริดา ซึ่งเริ่มยกเลิกมาตรการคุมเข้มควบคุมการระบาดของไวรัสในเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าไม่ได้ผล และยังเพิ่มความเสี่ยงต่อการท่องเที่ยวและประชากรผู้สูงอายุ โรงพยาบาลมากกว่า 40 แห่งในฟลอริดา แถลงว่า ห้องรักษาผู้ป่วยหนัก หรือไอซียู เต็มความสามารถแล้ว ขณะที่ รัฐบาลของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ พยายามผลักดันให้เปิดโรงเรียนอีกครั้งและยังมีการประท้วงต่อต้านการสวมหน้ากากอนามัยในรัฐมิชิแกนและมิสซูรี ด้วย
หากรัฐฟลอริดา เป็นประเทศ จะอยู่อันดับ 4 ของโลกที่มีผู้ติดเชื้อรายใหม่สูงที่สุดในวันเดียว เป็นรองสหรัฐ, บราซิลและอินเดีย จากการวิเคราะห์ของสำนักข่าวรอยเตอร์ โดยผู้ติดเชื้อรายวันในฟลอริดา แซงหน้าสถิติผู้ติดเชื้อรายวันที่สูงที่สุดที่มีรายงานอยู่ในประเทศยุโรปในช่วงที่การระบาดอยู่ในระดับสูงสุดด้วย อีกทั้งยังทำลายสถิติผู้ติดเชื้อรายวันสูงสุดในนิวยอร์ก ซึ่งอยู่ที่ 12,847 คน เมื่อวันที่ 10 เมษายน ซึ่งเป็นช่วงที่นิวยอร์กเป็นศูนย์กลางการระบาดของสหรัฐ
ผู้ติดเชื้อในฟลอริดา ยังคงเพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่อง แม้ว่านายรอน เดอซานติส ผู้ว่าการรัฐจากพรรครีพับลิกัน ได้สั่งให้ปิดบาร์อีกครั้งเมื่อเดือนที่แล้ว แต่เขาปฏิเสธที่จะบังคับให้ประชาชนสวมหน้ากากอนามัย
การพุ่งขึ้นของผู้ติดเชื้อล่าสุดนี้ มีขึ้นหนึ่งวันหลังวอลต์ ดีสนีย์ เวิลด์ ในเมืองออร์แลนโด เปิดสวนสนุกอีกครั้ง ด้วยการจำกัดการเข้าชมของนักท่องเที่ยว ซึ่งได้รับการต้อนรับด้วยมาตรการที่ปลอดภัย ซึ่งรวมทั้งการสวมหน้ากากอนามัย, การใช้เจลล้างมือ และตรวจวัดอุณหภูมิ ณ จุดคัดกรอง
อย่างไรก็ตาม นักเคลื่อนไหวที่ต่อต้านการสวมหน้ากากอนามัยในหลายรัฐ ซึ่งรวมทั้งฟลอริดาและมิชิแกน จัดการประท้วงต่อต้านคำสั่งของรัฐบาลท้องถิ่นที่ให้ประชาชนสวมหน้ากากอนามัย โดยแย้งว่า มาตรการดังกล่าวละเมิดเสรีภาพส่วนบุคคล
จากการวิเคราะห์ข้อมูลของรอยเตอร์เกี่ยวกับผู้ติดเชื้อในช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา เปรียบเทียบกับ 2 สัปดาห์ก่อนหน้า พบว่า ผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 กำลังเพิ่มสูงขึ้นในประมาณ 40 รัฐ และสหรัฐก็ทำลายสถิติโลก มีผู้ติดเชื้อรายวันวันเดียวกว่า 60,000 คนติดต่อกัน 4 วันแล้ว อัตราผู้ป่วยติดเชื้อที่ถูกส่งตัวเข้าโรงพยาบาลก็กำลังเพิ่มสูงขึ้นด้วยในรัฐแอริโซนา, แคลิฟอร์เนีย, ฟลอริดา และเท็กซัส
ประธานาธิบดีทรัมป์ ซึ่งกำลังเผชิญหน้ากับปัญหาเศรษฐกิจที่ทรุดหนัก ขณะที่เขาเตรียมสู้ศึกเลือกตั้งประธานาธิบดีสมัยที่ 2 ในเดือนพฤศจิกายนนี้ กดดันให้รัฐต่าง ๆ เปิดเศรษฐกิจที่ได้รับความเสียหายและโรงเรียนอีกครั้ง ซึ่งทางเบตซี เดวอส รัฐมนตรีกระทรวงศึกษาธิการของสหรัฐ แถลงเมื่อวันอาทิตย์แล้วว่า กระทรวงศึกษาธิการของเธอไม่มีแผนการที่มีความปลอดภัยพอที่จะส่งเสริมให้มีการเปิดโรงเรียนใหม่ และเขตการศึกษาแต่ละแห่งและแต่ละรัฐต้องพิจารณาแผนการของตัวเองบนพื้นฐานของอัตราการระบาดของไวรัสในท้องถิ่น ว่ามีความปลอดภัยในการเปิดเรียนหรือไม่
ด้านดร.แอนโธนี เฟาซี ผู้อำนวยการสถาบันโรคติดต่อและภูมิแพ้แห่งชาติของสหรัฐ (เอ็นไอเอช) ที่ปรึกษาระดับสูงของศูนย์ป้องกันโควิด-19 ประจำทำเนียบขาว วิพากษ์วิจารณ์การผ่อนคลายมาตรการล็อคดาวน์ในรัฐฟลอริดา โดยบอกว่า ข้อมูลการระบาดไม่ได้สนับสนุนให้มีการผ่อนคลายมาตรการคุมเข้มต่าง ๆ แม้แต่น้อย
เจ้าหน้าที่สาธารณสุขสนับสนุนให้ประชาชนสวมหน้ากากอนามัยเพื่อจำกัดการระบาดของไวรัส แต่ประเด็นนี้ กลายเป็นความแตกแยกทางการเมืองในสหรัฐ ซึ่งแตกต่างจากหลายประเทศ ที่อัตราการติดเชื้อและการเสียชีวิตลดลงอย่างมาก เนื่องจากผู้คนหันมาสวมหน้ากากอนามัยป้องกัน
การระบาดของไวรัสที่ล่วงเลยมา 7 เดือน ตัวประธานาธิบดีทรัมป์เอง ก็เพิ่งจะสวมหน้ากากอนามัยในที่สาธารณะเป็นครั้งแรก เมื่อเขาเดินทางไปยังโรงพยาบาลทหารในพื้นที่กรุงวอชิงตัน ดี.ซี.เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา เขาปฏิเสธสวมหน้ากากอนามัยในที่สาธารณะมาตลอดก่อนหน้านี้ แต่ก็เรียกร้องให้ชาวอเมริกันสวม โดยบอกว่า มันเป็นทางเลือกส่วนตัว ซึ่งจนถึงขณะนี้ ชาวอเมริกันจำนวนมากยังคงปฏิเสธที่จะสวมหน้ากากอนามัย ทั้ง ๆ ที่ ผู้เชี่ยวชาญด้านสาธารณสุข บอกว่า สามารถช่วยหยุดยั้งการแพร่กระจายของเชื้อไวรัสได้ ซึ่งล่าสุดไวรัสมรณะ ได้คร่าชีวิตชาวอเมริกันไปแล้วมากกว่า 135,000 คน และติดเชื้อทั่วประเทศเกือบ 3.3 ล้านคน