"ครูมืด ประสาท" เผยชีวิตจากเด็กสลัม สู่ปรมาจารย์ด้านวัฒนธรรม
เปิดชีวิต "ครูมืด ประสาท ทองอร่าม" จากเด็กสลัมสู่ปรมาจารย์ด้านวัฒนธรรม ชีวิตเคยลำบากถึงขนาดต้องขอข้าววัดกิน พร้อมเล่าวีรกรรมความซ่าหลังรั้วโรงเรียนที่เกือบโดนไล่ออกมาแล้ว โดยเจ้าตัวมาเล่าเรื่องทั้งหมดนี้ผ่านทางรายการ คุยแซ่บshow แถมเล่าเหตุการณ์เลือดตกยางออก แขนหักเกือบรำไม่ได้ อีกทั้งเจ้าตัวยังน้อยใจชีวิตครอบครัวไม่สมบูรณ์แบบ เพราะตัวเองเจ้าชู้ ต้องเลิกกับภรรยา ลั่นชีวิตนี้ขอโสดไปตลอดชีวิต
ตอนนี้ครูมืดมีลูกศิษย์ทั้งหมดกี่คน ?
ครูมืด : ขอเป็นซีรีส์ได้ไหม มันเยอะมาก ทั้งลูกศิษย์โดยตรง ลูกศิษย์ทางอ้อม
ครูมืดเติบโตมาจากสลัม ?
ครูมืด : สลัมเลยครับ
ชีวิตวันเด็กเป็นยังไง ?
ครูมืด : ก็เป็นซีรีส์ยาวอีกเหมือนกัน อยู่สลัมเลย คือบ้านที่เป็นอยู่หลังคาติดกันหมดเลย แล้วที่บ้านที่ผมอยู่ เป็นบ้านที่เช่าเขาอยู่ อาศัยอยู่ข้างวัด แต่บังเอิญถิ่นที่ผมอยู่ถึงแม้จะห่างไกลความเจริญ แต่คนที่อยู่เป็นบุคคลทรงความรู้ และศิลปินแห่งชาติเยอะมาก
มีโอกาสได้เข้าไปเรียนดนตรีนาฏศิลป์ยังไง ?
ครูมืด : เราชอบอยู่แล้ว แล้วเป็นคนที่ชอบแสดงออก ชอบเป็นผู้นำตั้งแต่เด็ก เพราะว่าเราอยู่สลัมคนก็อยู่เยอะ ก็มาเล่น เล่านิทานให้ฟังบ้าง เล่นกีฬาพื้นเมืองบ้าง เล่นซ่อนหา เราก็ชอบ แล้วเผอิญคุณปู่ผมท่านเป็นนักดนตรีไทย ท่านเป็นลูกศิษย์ของ คุณครูไพร หลวงประดิษฐ์ ไพเราะ ก็เอาผมติดตัวไปด้วย แล้วที่วัดก็เป็นศูนย์รวมของศิลป์หลายแขนง ไม่ว่าจะเป็นโขน ลิเก ละคร ปี่พาทย์ ก็รวมตัวกันอยู่ที่นั่น ก็มีข้าวกิน บ้านเราจน เราก็อาศัยข้าววัดกิน เราก็ได้ดูโขน ดูลิเก ดูดนตรี ดูอะไรต่างๆ แล้วมันชอบ แล้วพอกลับมาก็เอาเรื่องเหล่านั้นมาเล่นกับเด็กๆ พอจบ เรียนชั้นประถม 5 ปี ชั้นมูล คือก่อน ป.1 ก็เป็นผู้นำมาตลอด นำร่องเพลงชาติ เป็นนักกิจกรรม
ตอนเด็กๆ เกือบโดนไล่ออกจากโรงเรียน ?
ครูมืด : ร่องรอยเยอะมากครับ ก็เกเรครับ ตีกัน ศึกใหญ่มากเลย ตีกันทั้งโรงเรียน ซึ่งเหตุมันเกิดจากเริ่มงานไหว้ครู เด็กนาฏศิลป์ทำความสะอาด ช่างศิลป์มาก็เตะขวดน้ำกระจาย ก็ตีกันวันนั้น พอรุ่งขึ้นนัดกันไปเลย ก็พรวดพราดตีกัน เรื่องถึง สน.ต้องมาจับ มีอาวุธ
ตอนนั้นมีใครเป็นอะไรไหม ?
ครูมืด : ตอนนั้นผมเป็นนักเรียนข้าราชการด้วย ก็มีคำสั่งให้ออกจากโรงเรียน ออกจากราชการ แต่ผู้ใหญ่ก็ขอไว้ ลงโทษให้ต่ำจากไล่ออก ก็โดนลดขั้นเงินเดือน แล้วให้สอบตกปีนึง
แล้วครั้งไหนที่โดนตีจนแขนหัก ?
ครูมืด : อันนั้นเป็นหนุ่มแล้วครับ ตอนนั้นกลับจากไปราชการที่เม็กซิโก ก็ไปฉลองที่แถวสะพานควาย อิ่มแล้วกลับมา สมัยนั้นแท็กซี่ยังไม่มีมิเตอร์ ก็ไปเรียกแท็กซี่ แท็กซี่มันเรียกแพง ก็ยังไม่กลับดีกว่า กลับไปกินต่อ ความที่จะมีเรื่อง ก็ไปเจอพวกกลุ่มเดียวกันที่เรียนนาฏศิลป์เหมือนกัน เขานั่งอีกโต๊ะ เขามีเรื่องกันอยู่ เราไม่รู้ก็เข้าไป เห็นไม่ดีก็จะกลับละ พอกลับก็ปะทะกัน ก็ไม่รู้ใครเป็นใคร เขาก็ตีผม ผมก็ใช้เข็มขัดฟาด แขนหัก แต่ยังไม่รู้ว่าหัก พอใกล้ๆ จะเช้ามือมันเริ่มเป๋ ก็น่าจะหัก ก็นึกถึงหมอที่จะช่วยเราได้คนเดียวเลย คือคุณหมอ พูลพิษ หมอก็ถามว่าไปโดนอะไรมา ผมบอกหกล้ม แผลแบบนี้ไปโดนกระทืบมาใช่ไหม เขาก็โทรไปฟ้องครูที่ดูแลผมอยู่ ซึ่งครูบอกว่าหมอ มันเจ็บป่วยมาหาหมอ หมอก็ต้องดูแลมันสิ หมอก็ผ่าให้
แล้วหลังจากนั้นมีเรื่องอีกไหม ?
ครูมืด : เยอะครับ
เรื่องการเสียลูก ?
ครูมืด : ครับ ผมมีภรรยาก็อยู่ด้วยกันจะมีน้อง หมอบอกว่ามีน้อง เราก็ดีใจมากเลย เพราะเราไม่มีทายาท แต่อยู่ได้สักเดือน สองเดือนได้ข่าวว่าเสียน้องไป มันสะเทือนใจมาก อันนี้มันเป็นวิบากกรรมของผมแน่ๆ ผมระลึกถึงเสมอว่าเป็นกรรม เคยทำกรรม เคยทำเวรอะไรไว้ จึงทำให้ไม่มีลูก ก็เสียใจมาก
นับจากเหตุการณ์นั้นมาครูมืดก็ไม่กล้าจะมีน้องอีกเลย ?
ครูมืด : ครับ ก็ไม่กล้า พอเสียน้องไปแล้ว มันก็โยงไปทำให้เสียภรรยาไปด้วย
ณ ตอนนี้ครูมืดก็โสดมาตลอด ?
ครูมืด : ครับ มนุษย์มันมีเลือดเนื้อ มีความต้องการ ก็ขออยู่อย่างนี้ดีกว่า
ปฏิญาณตนไว้ว่าขออยู่คนเดียว ?
ครูมืด : ขออยู่คนเดียว เพราะความที่เราเพลิดเพลินไปมันเยอะแล้ว หลังจากที่เสียแฟนไป มันเยอะแล้ว ก็พอแล้ว คิดว่าหลังจากเกษียณอายุแล้ว ก็จะตั้งใจอยู่กับพี่น้อง ครอบครัว แล้วก็ทำอะไรให้กับสังคม ทำอะไรให้กับโรงเรียนนาฏศิลป์ ทำอะไรให้กับกรมศิลปากรมากยิ่งขึ้น
คลิปสัมภาษณ์ ครูมืด ประสาท