“ปิยบุตร” ชี้มติรัฐสภาอัปยศ โหวตเห็นชอบส่งศาล รธน.ตีความ มีอำนาจแก้ รธน.หรือไม่เหมือนยื่นดาบให้ศาลบั่นคอตัวเอง
หมอเฉลยแล้ว "น้ำมะพร้าว" เพิ่มพลังเซ็กส์จริงหรือ?
แบกไม่ไหว “นิว” ตัดใจปิดร้านอาหาร-ขายมอเตอร์ไซค์ 4 คัน เซ่นพิษโควิด
เมื่อวันที่ 9 ก.พ. ที่ผ่านมา นายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการคณะก้าวหน้า เฟซบุ๊กไลฟ์ รายการ “สนามกฎหมาย” วิเคราะห์ถึงกรณีรัฐสภา เพิ่งมีมติเห็นชอบให้ส่งเรื่องการแก้รัฐธรรมนูญเพื่อตั้ง สมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.) ไปยังศาลรัฐธรรมนูญ เพื่อพิจารณาวินิจฉัยปัญหาเกี่ยวกับหน้าที่ และอำนาจของรัฐสภาตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 210 (2) ตามที่นายไพบูลย์ นิติตะวัน ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคพลังประชารัฐ และนายสมชาย แสวงการ ส.ว. ได้ยื่นญัตติเข้ามา ว่า กรณีเช่นนี้เป็นอันตรายอย่างยิ่ง ถ้าทำกันเช่นนี้สม่ำเสมอ ศาลรัฐธรรมนูญจะไม่ใช่ศาลรัฐธรรมนูญอีกต่อไป แต่จะกลายมาเป็นที่ปรึกษากฎหมายให้กับรัฐสภา ไม่ใช่ผู้ชี้ขาดข้อพิพาทแล้ว กรณีนี้รัฐสภาเพียงแต่สงสัย ยังไม่ได้มีข้อพิพาทกับใคร ถ้าเป็นเช่นนี้ต่อไป ศาลรัฐธรรมนูญจะเป็นเหมือนคณะกรรมการกฤษฎีกา และที่เลวร้ายไปกว่านั้น ยังส่งผลต่อระบบการแบ่งแยกอำนาจตามรัฐธรรมนูญ จะทำให้ศาลรัฐธรรมนูญกลายเป็นองค์กรที่ใหญ่ที่สุด เหนือทุกองค์กรตามรัฐธรรมนูญ ทั้งๆที่แต่ละองค์กรมีแดนอำนาจของตนเอง แต่กรณีนี้รัฐสภายังไม่ได้กล้าใช้อำนาจอะไรของตัวเอง ยังอยู่ในขั้นตอนการแก้อยู่ ก็ดันมีสมาชิกรัฐสภากลุ่มหนึ่ง สยบยอม ยื่นดาบนี้ให้ศาลรัฐธรรมนูญ ให้ช่วยบอกหน่อยว่ารัฐสภาทำได้หรือเปล่า นานวันเข้าถ้าทำกันอย่างนี้บ่อยๆ ทุกเรื่องจะถูกส่งไปที่ศาลรัฐธรรมนูญหมด แล้วพอชี้ขาดออกมาก็เป็นที่สุด มีผลผูกพันทุกองค์กร นั่นหมายความว่าต่อไปนี้ศาลรัฐธรรมนูญจะใหญ่ที่สุดในรัฐธรรมนูญ ดุลยภาพอำนาจตามที่แบ่งแยกกันไว้อยู่ในรัฐธรรมนูญก็จะเสียไป ศาลรัฐธรรมนูญก็จะแปรสภาพกลายเป็นซุปเปอร์รัฐธรรมนูญ สรุปว่ามติรัฐสภา ทั้ง 366 เสียงที่เห็นชอบได้สร้างมติอัปยศขึ้นมา เป็นมติที่รัฐสภายอมจำนนต่อศาลรัฐธรรมนูญ ตนเองมีอำนาจแก้รัฐธรรมนูญก็ไม่ยอมใช้ กลับไปถามศาลรัฐธรรมนูญว่าทำได้หรือไม่ ไปยื่นดาบให้ศาลรัฐธรรมนูญ แล้วให้ศาลรัฐธรรมนูญมาบั่นคอตัวเอง ซึ่งตนขอประชาชนทุกคนจำไว้ให้ดีว่าใครบ้าง ที่เป็น ส.ส.และ ส.ว.ผู้ร่วมลงมติอัปยศในครั้งนี้